.comment-link {margin-left:.6em;}

Noi's life & thoughts

Thursday, May 19, 2005

จดหมายข่าวจากดังตฤณ

Thu, 19 May 2005 09:26:41 +0700
To: (ข้อมูลถูกลบโดยผู้โพส)
Subject: จดหมายข่าวจากดังตฤณ
From: ดังตฤณ@(ข้อมูลถูกลบโดยผู้โพส)

สวัสดีครับ คุณ(ข้อมูลถูกลบโดยผู้โพส)

นี่คือจดหมายข่าวจากดังตฤณดอทคอม ฉบับวันพฤหัสที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๘

วันนี้เป็นวันเผาศพของคุณลุงผม ท่านเสียเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา

เมื่อไปในวันรดน้ำวันแรก หลานๆผมถามว่าทำไมน้ายิ้มจัง ผมเองก็ไม่รู้ตัวเท่าไหร่ว่าหน้าตาสดชื่นเป็นที่ผิดสังเกต แต่พอหลานๆถามอย่างนั้นก็ตอบไปตรงตามที่คิด คือในเมื่อรู้ว่าญาติเรามีความสุขมากขึ้น ไม่ต้องทนทุกข์กับโรคภัยไข้เจ็บ เหมือนเห็นเขาโยกย้ายไปอยู่ในที่ที่มีสมบัติพัสถานสมบูรณ์ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ต้องทรมานทรกรรม ก็สมควรยินดีกับญาติของเราไม่ใช่หรือ? แม้จะต้องจากไกลไปสู่ต่างแดนชนิดไม่ได้กลับมาอีก คิดสะระตะแล้วก็ดีกว่าอยู่ด้วยกันแล้วเห็นเขาไม่เป็นสุข

ระยะหลังคุณลุงของผมอ่านหนังสือธรรมะมาก และช่วงก่อนตายจิตของลุงก็จับสิ่งที่เป็นกุศลไว้ได้ทัน ซึ่งโลกนี้มีไม่กี่คนหรอกครับที่ทำได้ เพราะส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับการใช้ชีวิตตามอำเภอใจ ฟุ้งซ่านตามอำเภอใจ พอถึงเวลาคับขัน นาทีเป็นนาทีตาย เลยนึกอะไรไม่ออก เหมือนตอนกำลังจะหลับแบบจิตขุ่นๆ คนเราสั่งไม่ได้หรอกว่าคืนนี้จงฝันดี ส่วนใหญ่ก็ฝันสะเปะสะปะ ออกแนวมืดๆหม่นๆมั่วๆเสียมาก

คลื่นทะเลทยอยเข้าฝั่งไปเรื่อยๆ คลื่นลูกหลังยังมองไม่เห็นฝั่งก็ไม่ค่อยรู้สึกถึงเวลาใกล้ฝั่ง แต่คลื่นที่ใกล้ฝั่งกว่าย่อมรับรู้ถึงสัญญาณบางประการ เช่นความตื้นเข้ามาของทะเลชีวิต ครอบครัวผมพยายามปลูกฝังกันในงานศพ ว่าลูกหลานนั้นยิ้มได้ ไม่จำเป็นต้องร้องไห้หรอก ถ้าร้องตามธรรมชาติเพราะเศร้าที่ต้องจากพรากก็ไม่เป็นไร แต่อย่าร้องด้วยเหตุผลเช่นกลัวคนอื่นจะหาว่าไม่รักญาติ การร้องไห้ไม่ได้แสดงถึงความรัก ความรักนั้นต้องแสดงตอนกำลังมีชีวิตอยู่ ห่วงใยดูแลช่วยเหลือกัน และถ้ารู้ว่าญาติไปดี การแสดงความรักครั้งสุดท้ายก็คือการยิ้มลาเท่านั้นเอง

====
อ่านจดหมายข่าวข้างบนแล้วรู้สึกดี .. ใจเป็นสุข ใส ปราศจากอารมณ์ขุ่นมัว จึงอยากแบ่งปันประสบการณ์

ตัวผมเองในสมัยก่อนเป็นคนหลับง่ายมาก แต่หลังจากที่ชีวิตต้องรับผิดชอบอะไรมากขึ้น รับรู้ปัญหาต่างๆ มากขึ้น ชีวิตมีความกังวลมากขึ้น บางครั้งก็นอนไม่หลับ เพราะใจกระวนกระวาย

ผมโชคดีอยู่อย่างที่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมคิดได้ว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราหมดลมหายใจ ปัญหาที่เรากำลังกังวลใจอยู่นี้ ก็จะไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป เพราะอย่างไรเราก็ทำอะไรกับมันไม่ได้แล้ว และทุกชีวิตย่อมหนีความตายไปไม่พ้น วันหนึ่งเราก็ต้องหมดลมหายใจ ถ้าเราต้องหมดลมหายใจตอนนี้ ก็ต้องปล่อยให้คนอื่นช่วยแก้ปัญหานั้นไป แต่ถ้าหากเรามีโอกาสตื่นมาอีกครั้ง ค่อยลุยแก้ปัญหานั้นไปตามกำลัง

ดังนั้นหากมีวันใดที่ผมเกิดอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ผมจะใช้วิธีมรณะสติ คือคิดว่าเรากำลังจะต้องตายลงไปเดี๋ยวนี้แล้ว อย่าไปนึกถึงสิ่งอื่น แต่ให้มีสติอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกของเราเท่านั้น (หรือบางทีอาจเป็นอาการพอง-ยุบของพุงบ้าง) เพราะอารมณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นกับจิตขณะตาย คือสิ่งที่ส่งผลต่อชาติและภพต่อไปของเราอย่างแน่นอนและฉับพลันทันที

เมื่อนึกถึงมรณะสติแล้ว ผมก็จะปล่อยร่างกายทุกๆ ส่วนไม่ให้มีอาการเกร็ง จากนั้นจึงหายใจเข้ายาวๆ จนสุดแล้วกลั้นไว้นิดหนึ่งก่อน แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ จนหมดลมแล้วกลั้นไว้นิดหนึ่ง ทำเช่นนี้สองหรือสามรอบ จึงเริ่มหายใจตามปกติ

ด้วยวิธีการที่ผมทำในยามนอนไม่หลับนี้ ช่วยให้ผมหลับสบายได้ในเวลาในรวดเร็ว

หากใครมีอาการนอนไม่หลับ จะลองวิธีที่ผมบอกก็ได้นะครับ (วิธีคนบอกนะ ไม่ใช่ผีบอก) แต่ไม่ใช่พอนึกว่าจะต้องตายเดี๋ยวนี้แล้ว เลยยิ่งฟุ้งซ่านใหญ่ ... ฝึกตัวเตรียมใจไว้บ่อยๆ เผื่อตอนที่ถึงเวลาต้องตายจริงๆ จะได้ไม่พลาด ;)

0 Comments:

Post a Comment

<< Home