ชีวิตหนี้
เช้านี้มีน้องที่เคยเปิดร้านเกมส์กับเพื่อนๆ เขา (และร้านเกมส์ของน้องและเพื่อนก็เคยอยู่ละแวกเดียวกันกับร้านเราด้วย) แวะมาเยี่ยม ถามไถ่เรื่องราวกันตามประสาคนไม่ได้เจอกันนานเพราะว่าน้องเขาเลิกทำร้านไปหลายปีแล้ว
มีอยู่ช่วงหนึ่งน้องถามขึ้นมาว่าที่ร้านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เราก็บอกไปตามจริงว่า ตอนนี้ก็เงียบๆ ลงไป และบัญชีก็ยังติดลบอยู่ น้องเขาก็อึ้ง เพราะว่าสมัยนู้น เขาเคยถามเราบัญชีเราก็ติดลบ และมันก็ติดลบมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน คงด้วยความสงสัย น้องเลยถามว่า แล้วพี่อยู่ได้ยังไง เพราะติดลบมาเป็นปีๆ แล้ว
คำตอบก็คือ เราอยู่ได้เพราะใจรัก (ได้เงินเดือน ๕,๐๐๐ บาทเองนะ) พยายามประหยัดค่าใช้จ่ายทุกด้านลงไป และเรามีเงินหมุนเข้ามา ทั้งจากการขายหุ้นของที่ร้านออกไปให้กับคนรู้จักหลายคน ทั้งจากการกู้เพิ่ม (นอกระบบ) โดยหวังว่าจะมียอดบวกในบัญชีบางเดือนมาช่วยกลบยอดตัวแดงที่สะสมอยู่ (ณ เวลานี้ มียอดตัวแดงในบัญชีที่สี่หมื่นกว่าบาท)
พอน้องเขากลับไปแล้ว ก็มาลองนั่งนึกๆ ดูว่าเออ ตูหนอ ทำไมมีหนี้มากมายขนาดนี้
๑. เงินกู้มาเซ้งร้านครั้งแรกเลย เซ้งต่อจากเพื่อนที่เป็นเจ้าของคนแรก (หลายแสน)
๒. เงินกู้เพิ่มมาเป็นค่าเซ้งตึก (ห่างจากก้อนแรก ไม่ถึงสามเดือน -- หลักแสนอีกเหมือนกัน)
๓. upgrade เครื่องครั้งที่ ๑ (หลักหมื่น)
๔. upgrade ระบบอินเตอร์เน็ต ครั้งที่ ๑ (หลักหมื่น)
๕. upgrade เครื่องครั้งที่ ๒ (หลักหมื่น)
๖. เงินกู้มาเป็นค่าเซ้งตึกอีกรอบ (หลักแสน)
๗. upgrade ระบบอินเตอร์เน็ต ครั้งที่ ๒ (หลักพัน แต่ก็เกือบๆ หมื่นนะ)
๘. เปลี่ยน monitor (หลักหมื่น)
รวมๆ แล้ว หลายแสนเหมือนกันนะเนี่ย เออ พอมาคิดได้อย่างนี้แล้วก็ภูมิใจนิดๆ ว่าเราทำร้านแบบใช้ Linux และ Open Source มาได้ยาวนาน โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ของใครทั้งสิ้น ไม่รับทำ/ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ก็ยังสามารถทำให้ยอดหนี้ที่ติดลบระดับหลายแสน ลดลงมาเหลือไม่ถึงครึ่งแสนแล้ว :D
แต่ยังไงก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับเงินของผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ อยู่บ้างเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีเงินปันผลให้พวกเขา เมื่อไหร่จะมีเงินไปซื้อหุ้นคืนมาจากพวกเขา ... คงเป็นเพราะเอาเงินคนอื่นมาถือ มาบริหาร ก็เลยเครียดมากกว่าใช้เงินตัวเอง เพราะว่ากลัวพลาด กลัวว่าถ้าเราทำอะไรพลาดไปแล้วจะทำให้คนอื่นๆ พลอยลำบากไปกับเราด้วย
ถึงยังไรเราก็มั่นใจว่า วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเรามองย้อนกลับมายังจุดนี้ เราจะภูมิใจกับมัน ภูมิใจที่เราเลือกใช้ Linux และ Open Source ภูมิใจที่ไม่ได้ไปละเมิดลิขสิทธิ์ของใครเขา และช่วยให้คนไทยรู้จักระบบทางฝั่งนี้บ้าง ช่วยให้พวกเขารู้ว่าเขามีทางเลือก ให้เขาเข้าใจว่า PC ไม่ได้หมายถึง Windows Only
สู้ต่อไปละกัน ทาเคชิ :D
8 Comments:
ทาเคชิ!
สุดยอดมาก
เมื่อก่อนผมก็ทำงานร้านเน็ต
ช่วย พี่ที่รู้จักทำตั้งแต่ ตั้งจอ จอแรก ยังจำความรู้สึกนั้นได้เลย ก็ช่วยเขามาจน เขาขาย ร้านทิ้ง
เห็นมาตลอดเลย ว่าร้านเน็ตไม่ใช่ว่า ง่ายๆ ไหนจะค่าไฟ
ค่าเน็ต ค่าเสื่อมเครื่อง ไหนจะต้องมาราวีกะพวก ร้อนวิชา
ถามว่าสนุกไหม ก็สนุก แต่ให้ทำเองไหม ผมก็ไม่เอา
มันเหมือนเอาเงินไปจบ แต่ของพี่นะโชคดีไม่มี ลิขสิทธิ์เกมส์ ลิขสิทธิ์ Software อะไรเลย
คุณหน่อย เริ่มใช้ Linux ตั้งแต่แรกเลยป่าวครับ?
กลุ่มลูกค้าส่วนมากคือใครอ่ะ ? แล้วใช้งานทำอะไร ?
ที่ถามงี้เพราะว่าเมื่อสี่ห้าปีก่อนผมเคยไปช่วยร้านเน็ทเปลี่ยนจาก Windows มาเป็น Linux เหมือนกันแต่แล้วก็ไปไม่รอด User ไม่ยอมรับ
อ้อ อีกคำถาม...
ร้านอยู่แถวไหนเนี่ย??
ผมว่านะ เงินส่วนใหญ่หายไปกับการทดลอง ทดสอบระบบต่างๆ ในช่วงแรกน่ะครับ :)
กว่าจะรู้ว่าอะไรเหมาะกับเรา กว่าจะรู้ว่าอะไรประหยัดได้บ้าง ก็ใช้เวลาเป็นปีๆ เหมือนกันนะ
ท้าวความประวัติความเป็นมาของที่ร้านให้ฟังละกัน เป็นการตอบคำถามคุณ Keng ด้วยว่าผมใช้ Linux มาตั้งแต่แรกหรือเปล่า
ร้านเปิดครั้งแรก เป็นของ "เพื่อนของเพื่อนสนิทผม" เขามาเปิดร้าน แล้วเพื่อนผมกับผมก็มาช่วย เขาก็เลยทาบทามให้มาช่วยที่ร้าน เพราะตอนนั้นผมว่างงานด้วย (จะไปเปิดร้านที่ต่างจังหวัด แต่ว่าคนที่จะลงทุนด้วยในตอนแรก ถอนเงินออกไป ผมเลยมีเงินไม่พอ ต้องกลับมากรุงเทพฯ)
ก็ทำอยู่กับเพื่อนคนนี้ ปีกว่า ตลอดเวลาผมก็บอกเขาว่า ให้ซื้อลิขสิทธิ์วินโดวส์มาใช้ ทะยอยซื้อเอาก็ได้ เขาเลยซื้อมาชุดนึงก่อน แต่ไม่เห็นว่าจะมีใครมาตรวจสักที ก็เลยไม่มีการซื้อลิขสิทธิ์ใดๆ อีกต่อไป (ใช้แบบเถื่อนๆ ไปตามประสา)
แล้วเขาก็ขยายกิจการไปทำอย่างอื่นเพิ่ม และเป็นช่วงที่ภรรยาเขาคลอดลูกคนแรกด้วย เขาเลยไม่ค่อยว่าง จึงมอบหมายให้ผมจัดการดูแลร้านแทน บวกกับร้านเกมส์แถวนั้น (ร้านน้องคนที่มาหา) กำลังต้องการเซ้งกิจการ ผมก็อยากได้ จึงมาปรึกษากับเพื่อนคนที่เป็นเจ้าของร้าน เขาเลยเสนอเซ้งร้านนี้ให้ผม เพราะเขาเองคงดูแลไม่ไหว
พอเซ้งมาได้แป๊บเดียว ปลายปี ๔๔ กระแส BSA มาแรงมาก แต่ผมตามข่าวเกี่ยวกับ Linux และ Open Source อยู่บ้าง ก็เลยคิดจะหาโปรแกรมต่างๆ มาใช้งานทดแทนการซื้อโปรแกรมที่ขายกันแพงๆ ส่วน Windows ผมก็ซื้อมาเพิ่มอีกสองชุด และคิดว่าจะซื้อจนครบจำนวนเครื่องด้วยนะ เพราะต้องการใช้ Fonts ของเขา (แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่ซื้อเพิ่มแล้ว เพราะ Linux และ Open Source ตอบสนองความต้องการของผมครบแล้ว)
พอลองใช้ Linux ได้สักพัก ก็คิดว่าเฮ้ย มันแจ๋วกว่าของเดิมวะ มันดีกว่าของเดิมนี่หว่า จึงเริ่มประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าทราบ ว่าจะปรับเปลี่ยนมาใช้ Linux และ Open Source แล้วนะ ;)
ทีนี้ถ้าเล่าต่อก็จะยาวเกินไป ผมแนะนำให้ดาวน์โหลดเอกสารที่ผมใช้ประกอบการร่วมสัมมนากับกลุ่ม TLWG เมื่อต้นปี ๔๕ มาอ่านกันดูนะครับ :)
http://www.geocities.com/speednetclub_th/documents.html
ลืมตอบคำถามเรื่องที่ตั้งร้าน ดูแผนที่ทางมาร้านได้ที่นี่เลยครับ ;)
http://www.geocities.com/speednetclub_th
(แผนที่น่ะ ผมวาดเองนะ ไม่ได้ใช้แรงงานเด็ก) :D
ทำเลดีัจัง
ลูกค้าคนไทย กะ ฝรั่ง อย่างไหนเยอะกว่ากัน
จริงๆ ถ้าเป็นร้าน net อย่างเดียวผมว่าไม่ว่าจะเป็น OS ใหนก็ไม่น่ามีปัญหาน่ะครับ เราตั้งให้เขาใช้ได้แต่ browser....
ไม่ว่าจะ OS ใหนมันก็หน้าตาเหมือนกัน
แต่ก็คงมีปัญหาที่เข้าบาง web ที่ออกแบบแบบใจแคบมาให้ใช้ IE Y_Y....
แต่ถ้ามีคนมาพิมพ์งาน เล่นเกมส์ ทำอย่างอื่นด้วย(เล่น MSN แบบอยากใช้ MSN Messenger) คงจะต้องให้ลูกค้าใจกว้างจริงๆ.....
ลูกค้าต่างชาติ (รวมหมดทุกชาติ ที่ไม่ใช่คนไทย) มีประมาณ ๓๐% ครับ
รายได้หลักของทางร้านจริงๆ มาจากงานพิมพ์ครับ ดังนั้นพอปิดเทอมที ก็เงียบที :)
Post a Comment
<< Home