.comment-link {margin-left:.6em;}

Noi's life & thoughts

Tuesday, June 15, 2004

กระแด่ว The จิ้งจก

ต้นเดือนก่อน ขณะที่ผมกำลังเช็ดกระจกร้านด้านนอก ก็เหลือบไปเห็นลูกจิ้งจกตัวหนึ่ง ความยาวจากหัวถึงหางประมาณหนึ่งนิ้วก้อยมาตรฐานชายไทยถ้วน เกาะอยู่ตรงยางขอบกระจกของวงกบสแตนเลสด้านในร้านตรงระดับสายตาพอดี ด้วยท่าเอาหัวลงแต่ชูคอสูงจ้องแป๋วตรงมาที่ตาผม

ผมนึกในใจว่า เออ ลูกจิ้งจกตัวนี้มันกล้าดีเว้ย เรากำลังเช็ดกระจกอยู่ก็ต้องมีการเคลื่อนไหววูบวาบ แต่มันก็ไม่ตกใจไม่หนี แถมยังจ้องเราอย่างตาไม่กระพริบอีกต่างหาก (อืม แล้วที่จริงจิ้งจกมันมีการกระพริบตาหรือเปล่านะ?)

คืนนั้นแฟนผมโทรมา ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ว่าเจอลูกจิ้งจกตัวเล็กๆ เกาะอยู่ตรงยางขอบกระจกจ้องตาผมไม่กระพริบ สองวันผ่านไป ผมก็ยังเห็นลูกจิ้งจกตัวนั้นเกาะอยู่ที่เดิม แฟนผมโทรมา ผมจึงเล่าให้เธอฟังอีกว่า เจ้าลูกจิ้งจกตัวเดิมยังไม่ไปไหน ... แฟนผมตั้งข้อสงสัยว่ามันกำลังดักกินแมลงอยู่ ผมตอบว่าถ้าจริงก็ดีเหมือนกัน แต่ทำไมมันไม่ยอมปรับสีตัวเองให้เข้ากับสแตนเลสสีขาวๆ เหมือนวงกบด้านในร้าน แต่ดันปรับตัวเป็นสีดำเหมือนสแตนเลสนอกร้านมากกว่า แล้วก็ฮากันเล็กน้อย และเนื่องจากผมไม่ต้องการเข้าไปก้าวก่ายรบกวนธรรมชาติ ผมจึงไม่ได้สนใจที่จะไปไล่หรือรังแกมัน

ผ่านไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งอาทิตย์ ผมยังคงเห็นมันอยู่ที่เดิมในท่าเดิม ผมยิ่งประหลาดใจขึ้นอีก พอดีมีพี่ลูกค้าคนหนึ่งเข้ามา ผมก็เล่าให้พี่เขาฟังว่า ลูกจิ้งจกตัวนี้อยู่ตรงนี้มานานแล้ว ไม่ไปไหน สิ่งที่เปลี่ยนไปก็แค่มันดูผอมลง คราวนี้ผมนึกเอะใจ เลยเอามือเข้าไปลองจับตัวมันดู ปรากฏว่ามันก็ไม่ขยับไปไหน ผมลองจับหางมันเพื่อจะยกมันออกมา แล้วจึงได้รู้ความจริงว่า ตัวมันติดหนึบอยู่กับยางนั่นเอง

ตอนนั้นผมนึกอยู่สองทาง คือ หาอาหารให้มันกินในท่านี้เลย เพื่อให้มันแข็งแรงก่อน หรือหาวิธีช่วยมันออกมาอย่างเร็วที่สุด แล้วจึงค่อยหาอาหารให้มันกิน นึกมานึกไปความคิดที่สองดูจะมีเหตุผลที่ดีกว่า ผมจึงพยายามแซะเจ้าลูกจิ้งจกผอมบักโกรกตัวนั้นออกมาจากยางขอบกระจก ด้วยมีดคัตเตอร์ โดยพยายามให้มันได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด

เมื่อแซะเจ้าลูกจิ้งจกผอมโซออกมาได้แล้ว ผมก็สังเกตเห็นว่าขาหลังทั้งสองข้างของมันเป็นอัมพาตไปแล้ว แถมปัญหาต่อมาคือ จะเอาอะไรให้มันกิน ... ผมถามทุกคนที่พบ ตั้งแต่แฟนผมที่โทรมาพอดี ลูกค้าในร้าน พนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น แทบทุกคนบอกว่าให้จับแมลงให้มันกิน แต่ผมปฏิเสธ .. เพราะไม่ต้องการเบียดเบียนชีวิตแมลง (โดยตรงด้วยตัวผมเอง แต่จะเลี้ยงเจ้าจิ้งจกตัวนี้ให้แข็งแรงพอออกไปล่าเหยื่อเองดีกว่า อิอิ)

ในที่สุดก็เลยซื้อขนมปังมา(กินเอง) แล้วบิส่วนนุ่มๆ ข้างในขนมปังแบ่งให้เจ้าจิ้งจกตัวนั้น โดยวางไว้ในมุมกล่องพลาสติกสีขาวขอบสูงที่ทำเป็นบ้านชั่วคราวให้มัน ส่วนอีกมุมผมหยดน้ำไว้ให้มันดื่ม

วันรุ่งขึ้นผมไปช่วยงาน Linux Empowerment วันแรก ก็ปล่อยให้มันอยู่ในกล่องทั้งวัน พอกลับมาตอนค่ำก็เอาอาหารเก่าทิ้ง แบ่งข้าวใหม่ให้มันกิน (ผัดกะเพราซะด้วย เผื่อว่าจะช่วยให้เลือดลมวิ่งดี)

เช้าอีกวัน ผมต้องไปช่วยงาน Linux Empowerment เป็นวันสุดท้าย ก็ดูเจ้าจิ้งจกน้อยในกล่อง เห็นว่ามันอ้วนขึ้นนิดหน่อย ผมเลยปล่อยให้มันออกมาสู่โลกกว้าง ตามทางของมันเอง หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอมันอีกเป็นเวลานาน

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ (จำไม่ได้ว่ากี่วัน) ขณะที่ผมกำลังกวาดพื้นร้านตอนเช้า ผมก็พบเจ้าจิ้งจกอัมพาตตัวนั้น ดิ้นกระแด่ว กระแด่วอยู่แถวๆ ปลายไม้กวาดดอกหญ้า เพราะหางของมัน (เป็นอัมพาตเหมือนกัน) ติดอยู่กับหยากไย่ และหยากไย่ก็ติดอยู่กับปลายไม้กวาดอีกที ผมจึงก้มลงดึงหยากไย่ออกจากหางของมัน พร้อมกับตั้งชื่อให้ลูกจิ้งจกตัวนั้นว่า "เจ้ากระแด่ว" (ตามอาการที่มันดีดตัวเองไปตามพื้น โดยมีขาหลังทั้งสองและหางชี้เด่ ก่อนจะหายไปใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งในร้าน)

ช่วงที่ผ่านมา ผมได้ขอให้ช่างแอร์ช่วยตัดต่อน้ำทิ้งจากแอร์ที่เคยไหลออกนอกร้าน ให้ไหลลงในถังน้ำที่เตรียมไว้ในร้านแทน เพราะผมต้องการเห็นว่าท่อน้ำตันหรือไม่ และได้อาศัยการนำน้ำออกไปเททิ้งนอกร้านนี้เป็นการออกกำลังกายไปในตัว แรกๆ ตั้งเวลาไว้ว่าเอาน้ำออกไปเททุกๆ สองชั่วโมง แต่หลังๆ ต้องเปลี่ยนเป็น ทุกๆ ชั่วโมงสี่สิบห้านาที เพราะโดนน้ำท่วมร้านไปรอบนึง (เดี๋ยวนี้เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้นอนกลางวันเลย)

น้ำทิ้งจากแอร์ถังสุดท้ายของวัน ผมมักจะเก็บไว้ก่อน เผื่อใช้ถูพื้น ถ้าไม่ได้ใช้ ก็ค่อยนำไปเททิ้งในวันรุ่งขึ้น

สายวันหนึ่ง ผมเข้ามาเปิดร้านและก็จะนำน้ำในถังออกไปเท เพราะคืนก่อนไม่ได้ถูพื้น ก็มองเห็นลูกจิ้งจกตัวหนึ่ง ลงไปลอยแอ้งแม้งอยู่ในถังรองน้ำทิ้งจากแอร์ ... แต่คราวนี้ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะใช่เจ้ากระแด่วตัวนั้นหรือเปล่า เพราะลูกจิ้งจกตัวที่ลอยอยู่ในถัง มันเป็นอัมพาตแข็งไปทั้งตัวแล้ว

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ถ้าผมไม่ลืม ผมจะนำน้ำถังสุดท้ายออกไปเททิ้งนอกร้านเสมอ ....

ถ้าหากเจ้ากระแด่วยังปลอดภัยดี ก็ดีใจด้วย และขอให้มีสุขภาพแข็งแรงต่อไป แต่ถ้าเจ้ากระแด่วได้หมดลมหายใจไปพร้อมกับการอาบน้ำครั้งสุดท้ายในถังใบนั้น ก็ขอให้ดวงวิญญาณของเจ้าไปสู่สุขคติเทอญ ... ด้วยความระลึกถึง ...

ป.ล. แล้วตกลง จิ้งจกกระพริบตาได้ไหมครับ?

2 Comments:

At Wednesday, June 16, 2004 4:34:00 PM, Blogger Beamer User said...

ขนาดนั้นเลยน่ะคนเรา

 
At Wednesday, June 16, 2004 9:24:00 PM, Blogger NOI said...

ไม่นึกว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงไปถึงปัญหาอะไรเอ่ยของ P-JOY ;)

มีอยู่ยุคหนึ่งที่ผมชอบตั้งชื่อให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น มอเตอร์ไซค์คันแรกที่พี่ชายให้ยืมใช้สมัยเรียนมหาวิทยาลัยชื่อ ถ่อยศักดิ์, โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกชื่อ ดำเกิง, เพจเจอร์(รึเปล่าจำไม่ได้)เครื่องแรกชื่อ แดงต้อย, คอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่คุณแม่ซื้อให้ชื่อ ไอ้ห้าร้อย (เป็น P-iii 500Mhz) ฯลฯ (เดี๋ยวนี้จำไม่ได้แล้ว)

หลังจากยุคนั้นก็ไม่ได้ตั้งชื่ออะไรต่ออะไรอีกนาน จนกระทั่งได้มาเจอเจ้ากระแด่วนี่เอง คิดถึงมันเหมือนกันนะนี่ ... ตะกี้เจอลูกแมงมุมตัวหนึ่ง ตัวยังใสๆ อยู่เลย .. จะตั้งชื่อให้มันว่าอะไรดีนะ ...

 

Post a Comment

<< Home