.comment-link {margin-left:.6em;}

Noi's life & thoughts

Thursday, May 26, 2005

โอ๊บ ...

วันจันทร์ที่ ๒๓ ที่ผ่านมา ... ตอนเย็นๆ มีลูกค้าใช้งานเต็มร้าน เย้ ...

แล้วลูกค้าชาวต่างชาติสองคนก็ใช้งานเสร็จ จ่ายตังค์แล้วลุกออกไป เป็นการมาใช้งานครั้งที่สองของคนทั้งคู่ (ครั้งแรกมาใช้เมื่อวันอาทิตย์)

เมื่อลูกค้าออกไปแล้ว เราก็ไปเคลียร์เครื่อง จึงเห็นว่าลูกค้าต่างชาติที่พึ่งออกไปนั้น ลืมเป้ไว้ที่เก้าอี้ (แขวนไว้กับพนักพิง)

ด้วยความหวังดี เราจึงรีบคว้าเป้ แล้วเปิดประตูออกไปดูทิศทางว่าเขาเดินกันไปทางไหน อ้อ เห็นแล้ว เดินไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เลยเอาเป้วางไว้ที่เคาท์เตอร์ แล้วรีบอ้อมกลับเข้าไปที่โต๊ะทำงาน หยิบรองเท้าผ้าใบมาสวม ... คือเวลาที่อยู่ที่ร้าน เราจะถอดรองเท้าไง แล้วเหลือแต่ถุงเท้า จะได้วิ่งลื่นไป ลื่นมาในร้านได้ (สนุกดี)

พอใส่รองเท้าเสร็จ ก็รีบกระโจนออกจากโต๊ะอ้อมเคาท์เตอร์เพื่อจะวิ่งตามลูกค้าต่างชาติสองคนนั้นไป .. ปรากฏว่า พื้นมันลื่น และเราก็รีบ เลยล้มคว่ำไปข้างหน้า ท่าหมาสี่ตีน ... เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเพลงจากวิทยุหยุดลงพอดี .. เสียงดังพลั๊ก จึงเป็นเสียงเดียวที่ดังเด่นเป็นสง่าขึ้นมา ลูกค้าทั้งร้านหันมามองที่เราเป็นสายตาเดียว (คนน่ารักก็อย่างนี้แหละ เป็นที่สนใจเสมอ เขินจัง)

ตอนแรกว่าจะปล่อยมุกที่คิดขึ้นสดๆ ออกไปทันที แต่กลัวว่าจะวิ่งตามลูกค้าไม่ทัน เลยรีบวิ่งออกไปก่อน พอตามลูกค้าทันได้คืนเป้ให้เขาแล้ว ก็วิ่งกลับมาที่ร้าน แล้วรีบปล่อยมุกถามลูกค้าออกไปว่า "เมื่อกี้วัดแรงสั่นสะเทือนได้กี่ริกเตอร์ครับ?" ... แต่ปรากฏว่า ลูกค้าคงอายแทนเรา เลยไม่มีใครตอบ ก้มหน้าก้มตาใช้งานกันใหญ่ -_-" (มุกแป๊ก)

ฮือๆ ได้แผลที่แขนขวาตรงใกล้ๆ ข้อมือด้วย แสบๆ อะ สงสัยจะเป็นตอนที่พยายามจะคว้าอะไรสักอย่าง แล้วพลาดหมด แขนเลยไปถูกับขอบโต๊ะ .. แต่ว่าอีกแผลนึงใหญ่กว่า เจ็บมากกว่าด้วยนะ ... แผลตรงหน้าน่ะ ... หน้าแตกกระจาย

บทสรุป หมองูตายเพราะงู คนชอบวิ่งลื่นๆ ในร้าน ก็ต้องล้มจับกบเข้าสักวัน (แต่ว่าไอ้คนที่ล้มคนนี้ไม่เข็ดนะ ทุกวันนี้ก็ยังคงวิ่งไถลลื่นๆ ในร้านอยู่เหมือนเดิม -- แหะๆ)

Saturday, May 21, 2005

ของแถม

หมัดต่อเนื่องจากจดหมายข่าวจากดังตฤน

บทสัมภาษณ์ คุณดังตฤน

Thursday, May 19, 2005

จดหมายข่าวจากดังตฤณ

Thu, 19 May 2005 09:26:41 +0700
To: (ข้อมูลถูกลบโดยผู้โพส)
Subject: จดหมายข่าวจากดังตฤณ
From: ดังตฤณ@(ข้อมูลถูกลบโดยผู้โพส)

สวัสดีครับ คุณ(ข้อมูลถูกลบโดยผู้โพส)

นี่คือจดหมายข่าวจากดังตฤณดอทคอม ฉบับวันพฤหัสที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๘

วันนี้เป็นวันเผาศพของคุณลุงผม ท่านเสียเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา

เมื่อไปในวันรดน้ำวันแรก หลานๆผมถามว่าทำไมน้ายิ้มจัง ผมเองก็ไม่รู้ตัวเท่าไหร่ว่าหน้าตาสดชื่นเป็นที่ผิดสังเกต แต่พอหลานๆถามอย่างนั้นก็ตอบไปตรงตามที่คิด คือในเมื่อรู้ว่าญาติเรามีความสุขมากขึ้น ไม่ต้องทนทุกข์กับโรคภัยไข้เจ็บ เหมือนเห็นเขาโยกย้ายไปอยู่ในที่ที่มีสมบัติพัสถานสมบูรณ์ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ต้องทรมานทรกรรม ก็สมควรยินดีกับญาติของเราไม่ใช่หรือ? แม้จะต้องจากไกลไปสู่ต่างแดนชนิดไม่ได้กลับมาอีก คิดสะระตะแล้วก็ดีกว่าอยู่ด้วยกันแล้วเห็นเขาไม่เป็นสุข

ระยะหลังคุณลุงของผมอ่านหนังสือธรรมะมาก และช่วงก่อนตายจิตของลุงก็จับสิ่งที่เป็นกุศลไว้ได้ทัน ซึ่งโลกนี้มีไม่กี่คนหรอกครับที่ทำได้ เพราะส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับการใช้ชีวิตตามอำเภอใจ ฟุ้งซ่านตามอำเภอใจ พอถึงเวลาคับขัน นาทีเป็นนาทีตาย เลยนึกอะไรไม่ออก เหมือนตอนกำลังจะหลับแบบจิตขุ่นๆ คนเราสั่งไม่ได้หรอกว่าคืนนี้จงฝันดี ส่วนใหญ่ก็ฝันสะเปะสะปะ ออกแนวมืดๆหม่นๆมั่วๆเสียมาก

คลื่นทะเลทยอยเข้าฝั่งไปเรื่อยๆ คลื่นลูกหลังยังมองไม่เห็นฝั่งก็ไม่ค่อยรู้สึกถึงเวลาใกล้ฝั่ง แต่คลื่นที่ใกล้ฝั่งกว่าย่อมรับรู้ถึงสัญญาณบางประการ เช่นความตื้นเข้ามาของทะเลชีวิต ครอบครัวผมพยายามปลูกฝังกันในงานศพ ว่าลูกหลานนั้นยิ้มได้ ไม่จำเป็นต้องร้องไห้หรอก ถ้าร้องตามธรรมชาติเพราะเศร้าที่ต้องจากพรากก็ไม่เป็นไร แต่อย่าร้องด้วยเหตุผลเช่นกลัวคนอื่นจะหาว่าไม่รักญาติ การร้องไห้ไม่ได้แสดงถึงความรัก ความรักนั้นต้องแสดงตอนกำลังมีชีวิตอยู่ ห่วงใยดูแลช่วยเหลือกัน และถ้ารู้ว่าญาติไปดี การแสดงความรักครั้งสุดท้ายก็คือการยิ้มลาเท่านั้นเอง

====
อ่านจดหมายข่าวข้างบนแล้วรู้สึกดี .. ใจเป็นสุข ใส ปราศจากอารมณ์ขุ่นมัว จึงอยากแบ่งปันประสบการณ์

ตัวผมเองในสมัยก่อนเป็นคนหลับง่ายมาก แต่หลังจากที่ชีวิตต้องรับผิดชอบอะไรมากขึ้น รับรู้ปัญหาต่างๆ มากขึ้น ชีวิตมีความกังวลมากขึ้น บางครั้งก็นอนไม่หลับ เพราะใจกระวนกระวาย

ผมโชคดีอยู่อย่างที่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมคิดได้ว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราหมดลมหายใจ ปัญหาที่เรากำลังกังวลใจอยู่นี้ ก็จะไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป เพราะอย่างไรเราก็ทำอะไรกับมันไม่ได้แล้ว และทุกชีวิตย่อมหนีความตายไปไม่พ้น วันหนึ่งเราก็ต้องหมดลมหายใจ ถ้าเราต้องหมดลมหายใจตอนนี้ ก็ต้องปล่อยให้คนอื่นช่วยแก้ปัญหานั้นไป แต่ถ้าหากเรามีโอกาสตื่นมาอีกครั้ง ค่อยลุยแก้ปัญหานั้นไปตามกำลัง

ดังนั้นหากมีวันใดที่ผมเกิดอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ผมจะใช้วิธีมรณะสติ คือคิดว่าเรากำลังจะต้องตายลงไปเดี๋ยวนี้แล้ว อย่าไปนึกถึงสิ่งอื่น แต่ให้มีสติอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกของเราเท่านั้น (หรือบางทีอาจเป็นอาการพอง-ยุบของพุงบ้าง) เพราะอารมณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นกับจิตขณะตาย คือสิ่งที่ส่งผลต่อชาติและภพต่อไปของเราอย่างแน่นอนและฉับพลันทันที

เมื่อนึกถึงมรณะสติแล้ว ผมก็จะปล่อยร่างกายทุกๆ ส่วนไม่ให้มีอาการเกร็ง จากนั้นจึงหายใจเข้ายาวๆ จนสุดแล้วกลั้นไว้นิดหนึ่งก่อน แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ จนหมดลมแล้วกลั้นไว้นิดหนึ่ง ทำเช่นนี้สองหรือสามรอบ จึงเริ่มหายใจตามปกติ

ด้วยวิธีการที่ผมทำในยามนอนไม่หลับนี้ ช่วยให้ผมหลับสบายได้ในเวลาในรวดเร็ว

หากใครมีอาการนอนไม่หลับ จะลองวิธีที่ผมบอกก็ได้นะครับ (วิธีคนบอกนะ ไม่ใช่ผีบอก) แต่ไม่ใช่พอนึกว่าจะต้องตายเดี๋ยวนี้แล้ว เลยยิ่งฟุ้งซ่านใหญ่ ... ฝึกตัวเตรียมใจไว้บ่อยๆ เผื่อตอนที่ถึงเวลาต้องตายจริงๆ จะได้ไม่พลาด ;)

Saturday, May 14, 2005

ฝันสนุก มัน เหนื่อย

จะด้วยความเป็นห่วงทีมรัก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กำลังถูกนักธุรกิจอเมริกันเทคโอเวอร์ อีกทั้งเป็นช่วงที่ฟอร์มของทีมไม่ค่อยดีนัก และใกล้ถึงวันชิงชัยถ้วย FA CUP ทำให้เราฝันแบบนี้หรือเปล่า ...

จำได้ว่าก่อนตื่นขึ้นมา(สาย)วันนี้ กำลังฝันว่า เป็นการเตะบอลนัดหนึ่ง เราเป็นผู้เล่นคนหนึ่งของทีมด้วย และที่สำคัญ มันคือทีมแมนยูฯ แต่ว่าฟอร์มบู่นิดหน่อย คือในฝันนั้นพวกเรา (นักเตะแมนยูฯ) อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนพักครึ่งเวลา และทีมถูกนำอยู่ ๒ : ๐ ทุกคนกังวลใจ แต่ก็มีการพูดคุย ปลุกปลอบ ช่วยกันสร้างกำลังใจให้ฮึกเหิม และมีนักเตะคนหนึ่งย้อมผมสีแดงเพลิง (ไม่รู้ทำไมนึกชื่อไม่ออก ทั้งตอนที่กำลังฝัน และตอนตื่นมาแล้ว) ได้ลุกขึ้นและตะโกนประกาศความตั้งใจของเขาว่า ครึ่งหลังนี้ จะยิงห้าประตู ... เราก็เลยช่วยเสริมให้ว่า ... เออ ถ้าทำได้ รุ่งขึ้นไปย้อมผมสีแดงเหมือนกันมาเลย แล้วทุกคนก็หัวเราะ ทำให้พวกเรามีกำลังใจลงสนามกันอีกครั้ง ก่อนเดินไปลงสนามเราก็ไปยืนหน้ากระจก ดูสภาพตัวเองที่กำลังใส่เสื้อแดง แล้วนึกไปถึงสภาพที่มีผมแดงเพลิงด้วย (ตลกชิบเป๋ง)

ครึ่งหลังเริ่มแล้ว พวกเราเล่นกันได้ดีมาก สามารถครองบอลได้มากกว่าทีมคู่แข่ง และบุกตะลุยขึ้นไปจนถึงหน้าประตู เรียกว่าแทบจะไปกองกันอยู่ในแดนฝั่งตรงข้ามหมด มีโอกาสยิงประตูกันหลายครั้ง แต่ไม่มีใครยิงสักที ได้แต่ส่งกันไปส่งกันมา ประมาณว่าจะรอให้นักเตะหัวแดงคนนั้นมาทำประตูให้ได้ (สงสัยว่า เพื่อนๆ ร่วมทีมคงอยากเห็นเราย้อมผมแดงกันมั๊ง) -_-"

มีจังหวะหนึ่ง ลูกบอลถูกส่งมาทางเรา จังหวะได้โหม่งพอดี เราก็คิดว่าจะรอให้ไอ้หัวแดงมายิงประตูเหมือนกัน แต่อีกใจก็อยากยิงประตูให้ได้ด้วย เพราะทีมยังตามอยู่ตั้งสองลูก เลยคิดว่า เอาอย่างนี้ละกันวะ หลับตาโหม่ง ถ้าเข้าก็เข้า ถ้าไม่เข้าก็รอเพื่อนๆ มาช่วยซ้ำ แล้วเราก็หลับปี๋ โหม่งลูกออกไปเต็มใบ ...

กริ๊ง ... เสียงโทรศัพท์ดังพอดี -_-" แฟนโทรมาบอกว่า ตื่นไปอาบน้ำ กินข้าวได้แล้ว ฮือๆ เลยไม่รู้เลยว่าโหม่งเข้าหรือเปล่า

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้จากความฝัน คือสมัยที่เรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่นิวซีแลนด์ อาจารย์ท่านนึงบอกว่า ถ้ายูฝันเป็นภาษาอังกฤษเมื่อไหร่ ก็แสดงว่าภาษาอังกฤษยูใช้ได้แล้ว ... และนี่ผมฝันว่าได้ลงสนามในฐานะนักเตะแมนยูฯ ก็แสดงว่า ผมจะคงตามเชียร์ทีมนี้ต่อไป .. you'll never work alone (อะ ถ้าใช้ walk เดี๋ยวแฟนหงส์จะเคือง อิอิ)

Thursday, May 05, 2005

๐๕๐๕๐๕slax๕.๐.๕

วันที่ ๕ เดือน ๕ ค.ศ. ๒๐๐๕

SLAX 5.0.5

(ไปดาวน์โหลดซะ ไม่ต้องบ่น) -_-"

Sunday, May 01, 2005

หยอกเอิน

ตอนเย็น แฟนแวะมาที่ร้าน ... เราก็ได้จังหวะออกไปซื้อข้าวราดแกงมากิน ราดสองอย่างคือแกงฮังเล กับไข่ดาว (๒๗ บาท)

พอกลับเข้ามาถึง แฟนเห็นข้าวเราแล้วก็ดุ "ไม่มีผักเลย กินหมูสามชั้นอีกแล้ว ไข่ดาวด้วย อายุก็ขนาดนี้ ไม่ออกกำลังกายอีก แล้วดูสิกินแต่ละอย่าง" (เพราะวันก่อนกินข้าวด้วยกันเราก็สั่งกะเพราหมูกรอบมากิน)

เราก็ออดอ้อนเล่าให้ฟังว่า "ก็เมื่อเช้ากินผักแล้วไง ก็มี ... (ไล่ลำดับว่ากินอะไรไปบ้างเป็นมื้อเช้า เพื่อจะหาผักให้เจอ) กุนเชียง ไข่เจียว กากหมู ... แกงจืดหมูสับ อ้อ แกงจืดใส่เห็ดตะปูไง เป็นผัก" แฟนยังคงทำตาดุอยู่ก็เลยบอกไปอีกว่า "ข้าวไง นี่ไงข้าวเป็นธัญพืชอะ ... มีพริกขี้หนูด้วยเห็นมั๊ย พริกนี่เป็นพืชสวนนะ" พูดจบเราก็ตักข้าวกับไข่ดาวใส่ปากหนึ่งคำ

แฟนคงหมั่นไส้ "เห็ดตะปงตะปูอะไรกัน นี่แน่ะ" (เอามือมาตบหลังสองสามที) "ตบให้ไข่กระเด็นออกมาเลย" ... (อะเปิดช่องให้เล่นมุกนี่แบบนี้) "ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... ตบตรงนี้ไข่จะกระเด็นได้ไงเล่า ตบผิดที่อะ" .. (ที่จริงไม่น่าปล่อยมุกนี้ออกไปเลย เพราะผลก็คือเกือบเจอต่อย)

====
ค่ำๆ ละครทีวีใกล้มา แฟนก็เลยบอกว่าจะรีบกลับบ้าน แต่เราไม่อยากให้กลับไง ก็อยากอยู่ใกล้ๆ นานๆ นี่นา แฟนก็บอกว่า "ไม่ได้แล้วต้องรีบกลับ เพราะ ฮอยอันฉันรักเธอจะมาแล้ว" เราก็เลยบอกไปว่า "ไม่เห็นต้องรีบกลับเลย เค้าก็มีไอ้ที่ห้อยๆ อะ ไม่ใช่อันเดียวด้วยนะ มีตั้งสองห้อยแน่ะ ห้อยสองอันฉันก็รักเธอเหมือนกัน" (ผลเหรอครับ เกือบเจอตบนะสิ โชคดีที่มีลูกค้าอยู่เยอะ เลยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น)

อะแหม .. นานๆ จะได้สวีทกะแฟนที เลยเอามาเล่า เอามาโพสเผื่อจะมีใครอิจฉา อิอิ :D

ป.ล. Kids don't try this at home (โดยเฉพาะถ้ามีแฟนหมัดหนัก)