.comment-link {margin-left:.6em;}

Noi's life & thoughts

Wednesday, June 30, 2004

จงเป็นน้ำเน่าที่ไหล

สมัยเรียนอยู่ปีสุดท้ายในชั้นมัธยมต้น ผมและเพื่อนๆ เฮี้ยวกันสุดๆ อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่เป็นเด็กที่อยู่มานานมาก คือบางคนเรียนตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาล ยันมัธยมสาม ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน (ส่วนตัวผมเองเรียนอยู่ที่นั่นตั้งแต่ชั้นประถมสอง) ทำให้พวกเราไม่ค่อยกลัวอะไร คงเหมือนพวกสมภารแก่วัด เพราะว่ารู้จักคุณครูทุกท่าน โดนตีโดนทำโทษกันทุกวัน แต่ก็ไม่เคยลดดีกรีความซ่าลงกันเลย เพราะการถูกทำโทษกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของพวกเราไปแล้ว

ที่โรงเรียนพวกเราเรียกคุณครูผู้ชายว่ามาสเซอร์เพราะเป็นโรงเรียนคริสต์ ส่วนคุณครูผู้หญิงเราเรียกว่าคุณครูตามปกติ และพวกเรามีคุณครูที่นับถือมากๆ อยู่หลายท่าน หนึ่งในนั้นได้แก่ มาสเซอร์ธานี ธีระนันท์ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอัสนี)

หลายต่อหลายครั้งที่พวกเราแหกกฎ หรือประพฤติตนไม่เหมาะสม แต่ถ้าคุณครูที่พวกเรานับถือมาก เอ่ยปากเตือนหรือขอร้องให้เลิก เราก็จะทำตามกันอย่างเต็มใจโดยไม่มีข้อแม้

ชีวิต ม.๓ ดำเนินมาอย่างมีรสชาติตามประสาวัยคะนอง จนถึงวันสุดท้ายของการเรียน ส่วนใหญ่ชั่วโมงสุดท้ายของแต่ละวิชาก็จะมีการติวเข้ม และเก็งข้อสอบ แต่ชั่วโมงสุดท้ายของวิชาสังคมศึกษา ที่มาสเซอร์ธานี เป็นผู้รับผิดชอบอยู่ มาสเซอร์ไม่ได้สอนอะไรที่เกี่ยวกับเนื้อหาวิชา ไม่มีการเก็งข้อสอบใดๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่มาสเซอร์สอนนั้น ได้เปลี่ยนชีวิตของผมอย่างสุดขั้วเลยทีเดียว

มาสเซอร์สอนว่า "มาสเซอร์ขอให้พวกเอ็งจงเป็นน้ำเน่าที่ไหล อย่าเป็นน้ำใสที่นิ่ง เพราะน้ำเน่าที่ไหลไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะกลายเป็นน้ำใส หรือน้ำดีได้ แต่น้ำใสที่อยู่นิ่งๆ นั้นก็จะกลายเป็นน้ำเน่าไปในที่สุด เปรียบเสมือนกับคน หากเรารู้ตัวว่าเรายังเป็นคนที่มีข้อบกพร่องอยู่ แต่เราพยายามปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ก็จะเหมือนกับน้ำเน่าที่ไหล ซึ่งก็จะกลายเป็นน้ำใสได้ในวันหนึ่ง แต่หากเราคิดว่าตัวเราดีอยู่แล้วและไม่มีการปรับปรุงพัฒนาตัวเองเลย ก็จะเหมือนกับน้ำใสที่นิ่งอยู่ และจะกลายเป็นน้ำเน่าได้"

ผมจำคำสอนนั้นได้เป็นอย่างดี และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแทบจะทั้งหมดเมื่อเข้าไปเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่ ผมตั้งใจเรียนมากขึ้น เกเรน้อยลง และแทบจะไม่มีปัญหากับทางโรงเรียนเลย ซ้ำยังช่วยเหลือกิจกรรมของโรงเรียนแทบจะทุกอย่างที่โอกาสและกำลังความสามารถของผมจะอำนวย

หลายต่อหลายครั้งที่ผมท้อใจกับเรื่องราวในชีวิต และได้นึกถึงคำสอนของมาสเซอร์ขึ้นมา ก็จะเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง ...

ตอนนี้น้ำเน่าหยดนี้ยังไม่ใสดีนัก แต่มันยังคงพยายามที่จะไหลเพื่อพัฒนาตัวของมันต่อไป โดยหวังว่าวันหนึ่งมันจะกลายเป็นน้ำใสกับเขาได้บ้างเหมือนกัน

ผมหวังว่าทุกท่านกำลังเป็นน้ำใสที่ไหลแรงกันอยู่นะครับ :)

Tuesday, June 29, 2004

แบบว่าอารมณ์ต่อเนื่อง .. ประโยคเด็ดจาก irc

๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๗ (๑๘.๕๗ น.)
ถ้าคิดว่าทำได้ คุณหาข้ออ้างมาสนับสนุนตัวคุณเองว่าทำได้
ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ คุณหาข้ออ้างมาสนับสนุนตัวคุณเองว่าทำไม่ได้

[พี่ nUm : CoolNetClub]

Monday, June 28, 2004

จะโพสอะไรดี วันนี้ไม่มีเรื่องบ่น

นั่งพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่นานแล้ว เหมือนๆ ไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการเล่าออกมาอย่างไร อืม อาจจะเป็นเพราะนอนน้อยมั๊ง สมองมันเลยอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

เมื่อวานหลังจากปิดร้านแล้วก็เจอปัญหาว่าไม่สามารถเข้า xwindow เครื่องที่พึ่งทำการ apt-get install gtk2 ได้ เลยพยายามหาทางแก้อยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า ลงใหม่เลยก็แล้วกัน พอลงเสร็จก็ลอง apt-get install gtk2 ใหม่ (แบบว่าไม่เข็ด) แต่ทีนี้ลอง upgrade อีกหลายอย่าง ก็เข้าได้แต่ gnome เข้า kde ไม่ได้ เลยตัดสินใจว่า ลงใหม่อีกทีก็ได้(วะ) ขณะที่กำลังรอติดตั้ง packages อยู่ ก็เพลียเลยฟุบหลับไปที่หน้าเครื่อง

ตื่นมาพร้อมกับอาการท้องอืด และได้เวลาบอลพักครึ่งเวลาพอดี เลยรีบๆ เข้าไปดูผลบอล และลุ้นบอลผ่านวิทยุทางอินเตอร์เน็ตก่อน พอบอลจบก็ได้เฮ เพราะเชกชนะเดนมาร์ก ๓ : ๐ เข้ารอบรองชนะเลิศต่อไป

จากนั้นก็ลอง install NVIDIA_GLX และ apt-get install gtk2 (อีกแล้ว) ก็เข้า x ไม่ได้อีกเหมือนเดิม ... เลยจำเป็นต้องลงใหม่อีกรอบ เพราะไม่อย่างนั้นเช้ามาจะไม่มีเครื่องให้ใช้

หลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาตอนเช้า (เชื่อผมไหมว่าวันนี้ตื่นเช้า) ก็มานั่งปรับแต่งค่าต่างๆ ต่อ ก่อนกลับบ้านก็สั่งให้มัน updatedb ซะ

คืนนี้มีโครงการจะลงใหม่อีก แต่เป็นคนละพาร์ทิชั่น เพื่อเตรียมตัวทดสอบอ่าวไทยต่อไป

ว่าแต่จะรอดไหมนี่ เพราะตอนกลางวันก็ไม่ได้นอน ... อาจจะเป็นเหมือนเช้าวันนี้ คือตื่นมาแล้วต้องนั่งนึกว่าก่อนหลับไป กำลังทำอะไรค้างอยู่ เอาใจช่วยผมด้วยแล้วก็แล้วกันนะครับ :)

Sunday, June 27, 2004

ถ้อยคำที่จำเขามา

จากรายการกรีนเวฟ (ตั้งแต่สมัยที่มีวิทยุอยู่ที่ร้าน แล้วรับได้อยู่คลื่นเดียว) ฟังแล้วประโยคไหนโดนก็รีบบันทึกไว้ หรือไม่ก็ย้อนมาบันทึกเท่าที่จำได้ ... ตอนหลังไม่มีวิทยุแล้ว เลยเก็บมาฝากได้เพียงเท่านี้

(จำวันที่ไม่ได้)
“ความสุข อยู่ระหว่างคำว่า
น้อยเกินไป กับมากเกินไป”

(จำวันที่ไม่ได้)
“คนเราเสียใจเพราะผิดหวัง เราผิดหวังเพราะว่าผิดคาด
แต่บางทีอาจจะไม่ใช่การผิดคาด แต่เป็นเราเองต่างหากที่คาดผิด”

๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๕
“คนแพ้จะเห็นปัญหาทุกครั้งที่มีโอกาส
ส่วนคนชนะจะเห็นโอกาสทุกครั้งที่มีปัญหา”

๓ มกราคม ๒๕๔๖
“ชีวิตการแต่งงานที่ดี คือชีวิตที่เราไม่ได้คาดหวังว่า
ชีวิตหลังการแต่งงานจะต้องสมบูรณ์แบบ”

๑๓ มกราคม ๒๕๔๖
“เวลาที่ฉันรักเธอ ฉันรักเธอมากกว่าเมื่อวานนี้
แต่... น้อยกว่าวันพรุ่งนี้...”

๒๘ มกราคม ๒๕๔๖
“คนเราสามารถที่จะรักใครได้มากกว่าหนึ่ง
แต่จะมีเพียงหนึ่งเท่านั้นที่เราจะรักได้จนตลอดชีวิต”

๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
“ความห่างไกลช่วยคัดคนโลเลออกจากชีวิตเรา
และจะช่วยเก็บคนที่จริงใจกับเราไว้ให้”

Saturday, June 26, 2004

วันนี้ได้ดู Kill Bill Vol.1 แล้ว

น้องเอก น้องที่ทำร้านเกมส์อยู่ใกล้ๆ กัน เอา DVD เรื่อง Kill Bill Vol.1 มาให้ยืมดู ช่วงเช้าถึงบ่ายวันนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า เลยเปิดดูซะเลย ดูไปก็กินข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่างและน้ำชาดำเย็นไปด้วย เลยดูไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่ เพราะบางฉากก็ต้องหยุดไว้เพื่อไปกินอาหารก่อน เพราะกลัวว่าจะกินไม่ลง เนื่องจากเลือดสาดท่วมจอเหลือเกิน

แต่ก็ต้องชมผู้กำกับที่เข้าใจใช้เทคนิคซ่อนเลือดในบางฉาก อย่างเช่นช่วงที่ต้องเลือดพุ่งกระฉูดอย่างมโหฬารในร้านอาหาร เขาก็ทำให้มันเป็นภาพขาวดำซะ และตอนที่นางเอกกระพริบตากลับมาเป็นภาพสีแล้ว แต่ก็มีคนไปดับไฟอีก เราเลยไม่ได้เห็นน้ำเลือดสีแดงสาดกระจายมากมายจนเกินไปนัก

พูดถึงหนังที่ผมคิดว่ามุมกล้อง หรือเทคนิคถ่ายทำเท่ดีก็มีเรื่อง TORQUE อีกเรื่องหนึ่ง ผมชอบตั้งแต่ตอนที่เขาเผยโฉมหน้าพระเอกครั้งแรกผ่านทางเงาสะท้อนบนหน้าปัทม์นาฬิกาข้อมือ ช่างเข้าใจคิดกันจริงๆ

====
สองวันมานี้นั่งเล่นลูกบิด (rubik - สะกดอย่างนี้หรือเปล่าหว่า) แทบทั้งวัน เมื่อวานทำได้หนึ่งหน้ากับสองแถวเป็นครั้งแรกในชีวิต ... วันนี้ทำได้อีกสองครั้ง แต่ยังไงก็ยังไม่เคยทำได้ครบทั้งหกหน้าเลย (นอกจากจะเอาไขควงแงะแล้วค่อยประกอบมันกลับเข้าไปใหม่)

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเซลล์สมองเริ่มสร้างรอยหยักมากขึ้นหรือเปล่าจึงทำให้รู้สึกมึนหัวตึ๊บๆ ขนาดนี้ อาจจะต้องหยุดเล่นสักระยะ เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะฉลาดเกินไป ... (ปวดกะบาลจัง)

Friday, June 25, 2004

มุมที่ต่างมอง

บางครั้งมุมที่เรามองอยู่เป็นประจำทำให้กลายมาเป็นความรู้สึก เป็นทัศนคติ และเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินเหตุการณ์บางเหตุการณ์โดยลืมนึกถึง มุมของคนอื่น ความรู้สึกของคนอื่น ทัศนคคิของคนอื่น และบรรทัดฐานของคนอื่นๆ

บางทีเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเรา ก็ทำให้เราเกิดมุมมองต่อเหตุการณ์นั้นในรูปแบบเฉพาะของตัวเองได้เช่นกัน

ผมกำลังเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดจากการมีมุมมองที่แตกต่างกัน แม้มันจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความห่วงใย ความหวังดีที่มีใให้อย่างเต็มเปี่ยม แต่มันเป็นสิ่งที่ผมมีทัศนคติไปอีกทางหนึ่ง กลายเป็นว่าความห่วงใยและความหวังดีนั้น แทงทิ่มตรงเข้ามายังจุดอ่อนที่ผมไม่ต้องการจะยอมรับ

เมื่อยหน้าอกอีกแล้้ว ... รู้สึกเหนื่อยจัง

Thursday, June 24, 2004

โลกที่อยากเห็นและให้เป็นไป ...

ผมอยากเห็นโลกที่มีความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตประจำวัน โลกที่ไม่มีการจี้ ปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ

อยากให้เราสามารถเดินอยู่บนโลกใบนี้ในยามค่ำคืนได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ ไม่ต้องเป็นทุกข์กังวลใดๆ ว่าคนที่เรารักจะได้รับอันตรายจากผู้ไม่พึงประสงค์หรือไม่

โลกคงน่าอยู่ขึ้นกว่านี้อีกมาก หากเราสามารถไว้ใจคนรอบข้างได้ทุกคนไม่ว่าเราจะรู้จักเขาหรือไม่ก็ตาม

อีกนานแค่ไหนหนอโลกนี้จึงจะสามารถเป็นอย่างที่หวังได้ ...

Wednesday, June 23, 2004

แสบคอ ...

วันนี้ไปช่วยงาน Linux Expo. ที่อาคารสหประชาชาติ เป็นวิทยากรเรื่องเกี่ยวกับ OpenOfficeTLE1.1.0 (ทั้งที่ใจจริงอยากสนับสนุนให้ใช้ เวอร์ชั่น 1.0.2 มากกว่า แหะๆ)

สาวๆ พริตตี้ในงานสวยมาก สวยและน่ารักจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังไม่มีใครสามารถชนะความน่ารักความงามของแฟนผมได้เลยแม้แต่คนเดียว (ผมเปล่าไขว้นิ้วกันอยู่น๊า ... จริง จริ๊ง .. (ไม่ได้กลัวแฟนนาครับ แหะๆ))

พูดมากซะจนแสบคอ กลับมาร้านมีลูกค้าคนเดียว ลูกค้าที่นัดมารับงานก็ไม่มา -_-' ตอนนี้รู้สึกเหมือนๆ จะไม่สบายอีกแล้วอะ ... อยากอ้อน สาวพริตตี้ ไม่ใช่สิ อยากอ้อน แฟน (อิอิ)

Tuesday, June 22, 2004

อ้าว ลืมโพสไปวันนึง (ไม่ใช่ blog หาย)

ฮ้าว .... (อ้าปากหาว ปากกว้างตามสไลต์ แหะๆ)

วันที่ ๒๑ ลืมโพส เพราะเหนื่อยจัด ลูกค้ามาคึกคักช่วงเย็น แถมอดนอนสะสมมาระยะนึงแล้ว เลยหลับเร็ว แต่ดันตื่นมาช่วงครึ่งหลังของบอลยูโรได้ทันลุ้นให้อังกฤษเข้ารอบ และลุ้นให้ฝรั่งเศสตกรอบแรก (แต่ดันผ่านเข้ารอบสองไปจนได้)

วันนี้แฟนสาวไปสมัครเรียนภาษาอังกฤษแล้ว หลังจากบอกว่าอยากเรียนมานาน เอ ประโยคบอกเล่าแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการนินทาแฟนตัวเองใช่ไหมครับ แหะๆ ... ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แบบว่าไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าเรานินทา .. คือมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการกลัวแฟนหรือไม่กลัวแฟนนะครับ (เพราะผมหน่ะไม่กลัวแฟนอยู่แล้ว เอ่อ ... ใครที่ไฮไลท์ข้อความนี้ขึ้นมาอ่าน ก็อย่าบอกแฟนผมก็แล้วกัน แหะๆ แต่ว่าผมก็ไม่กลัวจริงๆ นา ... อืม ... คุณคงไม่บอกเธอจริงๆ ใช่ไหมครับ นะ นะ -_-' เฮ้อ...)

ไปนอนดีกว่า ตีสี่กว่าแล้วอะ .... หลับฝันดีครับทุกคน (เอ๊ะ ถ้ามาอ่านในเวลางานก็แอบหลับอย่าให้เจ้านายรู้นาครับ แหะๆ ... เป็นห่วงอะ)

Sunday, June 20, 2004

สถิติ เกี่ยวกับ Czech Republic ในบอลยูโร ๒๐๐๔ (เท่าที่สังเกตเห็น)

ลงเล่นเป็นคู่สุดท้าย แต่ได้เข้ารอบสองเป็นทีมแรก
ลงสนามสองนัดมีนักฟุตบอลโดนใบเหลืองคนเดียว
โดนยิงนำก่อนทั้งสองเกม แต่ก็พลิกกลับมาชนะได้ทั้งสองครั้ง
Milan Baros ผู้ยิงประตูแรกให้กับทีมเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของเชก ในฟุตบอลยูโร (และเป็นผู้นำร่วมดาวซัลโวในขณะนี้)

อาจจะยังมีอะไรอีกที่ไม่เหมือนใคร หรือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่นึกไม่ออกแล้ว (เมื่อเช้าเหมือนๆ จะนึกได้มากกว่านี้) ไปพิมพ์งานต่อดีกว่า (หมดเวลาอู้)

Saturday, June 19, 2004

ฝนตก เหงา คิดถึงผู้คน

นอนดึก ปวดหัว ฝนตก เหงา คิดถึงหลายคน รู้ตัวไหมว่าผมคิดถึงคุณ .. คุณนั่นแหละ ไม่ต้องหันไปมองใคร คุณคนที่กำลังอ่านอยู่นี่แหละ .. อื้อ รักนะ

Friday, June 18, 2004

สูตรยาน้ำแก้เจ็บคอ

สมัยเรียนอยู่เมืองนอกผมป่วยบ่อย เพราะเป็นคนไม่ชอบอากาศเย็น เจออุณหภูมิต่ำๆ ไม่นานเจ็บคอเป็นไข้ทันที

มีอยู่วันหนึ่ง เจ็บคอมาก ปวดหัวมากด้วย ถึงขนาดต้องโทรไปลาป่วยทั้งวัน .. อาจารย์ผมแนะนำให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยมีสูตรดังนี้

น้ำร้อนหนึ่งแก้ว
น้ำผึ้งแท้สองช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาวครึ่งลูก

ผสมให้เข้ากัน รอให้น้ำเย็นลง แบบว่าอุ่นๆ จะได้ไม่ลวกปากลิ้นแตก แล้วดื่มรวดเดียว จากนั้นให้นอนยาวเลย (วันนั้นหลังจากดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาวแก้วนั้นแล้ว ผมนอนรวดเดียวตื่นมาบ่ายเลย แล้วก็หายเจ็บคอ หายปวดหัว)

แนะนำไปหลายคนแล้ว ได้ผลมาหลายคนแล้วเหมือนกัน :)

สำหรับเมืองไทย ผมแนะนำว่าน้ำผึ้งโครงการหลวง "ดอยคำ" ที่เป็นหลอดๆ ดีมาก บีบให้ได้สองช้อนโต๊ะ ส่วนมะนาวบ้านเราก็หาไม่ยาก (สมัยที่ผมทำแก้วแรกนั้น ต้องใช้น้ำมะนาวที่เขาทำเป็นขวดๆ ไว้ปรุงอาหาร)

ตอนนี้เข้าฤดูฝนแล้ว หลายคนเริ่มป่วย เลยนำสูตรนี้มาฝาก ด้วยความเป็นห่วงครับผม :)

Thursday, June 17, 2004

blog หายเป็นครั้งที่สาม ..

สงสัยว่าจะโพสอะไรยาวๆ ไม่ได้ โพสหายไปสามทีแล้ว .. วัยรุ่นเซ็ง เพราะวัยรุ่นไม่ได้ backup ไว้เลยสักอัน

Wednesday, June 16, 2004

ห้าวัน น้ำท่วมร้านสองครั้ง -_-'

ต้องผจญกับปัญหาน้ำท่วมร้านสองครั้งแล้ว ในรอบห้าวัน ...

ครั้งแรกเกิดจากน้ำทิ้งแอร์ออกมามากผิดปกติ ทำให้น้ำล้นออกมาจากถังที่เตรียมไว้ จึงต้องเปลี่ยนเวลาเทน้ำทิ้งจากทุกๆ สองชั่วโมง มาเป็นทุกๆ ชั่วโมงสี่สิบห้านาทีแทน ...

คราวนี้ไม่ใช่เพราะน้ำทิ้งมันล้นออกมาจากถัง แต่เป็นเพราะท่อน้ำทิ้งมันหลุดออกมาจากข้อต่อตรงก้นแอร์ (เคยใช้คำประมาณว่า "ตูดแอร์" แล้วโดนท้วงว่าไม่สุภาพ แต่ผมว่า "ก้นแอร์" มันไม่ค่อยสื่อความหมายเนอะ -- หรือควรจะใช้คำว่า "บั้นท้ายแอร์" จึงจะดี?)

ปล้ำกับท่อน้ำทิ้งอยู่นานเพราะมันอยู่สูง ต้องปีนชั้นหนังสือที่สร้างจากเหล็กฉากขึ้นไปจัดการกับมัน แต่พอปีนขึ้นไปได้ ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร ... ลูกค้าคนเดียวในร้านก็ใช้บริการเสร็จ ก็ต้องกระโดดลงมาคิดตังค์ ปีนขึ้นไปใหม่ ... กริ๊ง ... โทรศัพท์ดัง เพื่อนโทรมา เสร็จธุระ กำลังจะปีนขึ้นไปใหม่ ... กริ๊ง ... โทรศัพท์มาอีกแล้ว แต่เป็นการโทรมาผิดเบอร์ -_-" (งื้อ ...)

ในที่สุดก็ปีนขึ้นไปจัดการจนสำเร็จ โดยใช้เทปพันสายไฟพันเข้าไปเหมือนเดิม (แต่คิดว่าแน่นหนากว่าเดิมนะ) พร้อมกับใช้น๊อตขันเข้าไประหว่างท่อ PVC ทั้งสองเส้นนั้น เพื่อให้มันยึดติดกัน

โชคดีที่ตอนนั้นไม่ยุ่งมาก เลยแค่เหนื่อยๆ แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน :)

Tuesday, June 15, 2004

กระแด่ว The จิ้งจก

ต้นเดือนก่อน ขณะที่ผมกำลังเช็ดกระจกร้านด้านนอก ก็เหลือบไปเห็นลูกจิ้งจกตัวหนึ่ง ความยาวจากหัวถึงหางประมาณหนึ่งนิ้วก้อยมาตรฐานชายไทยถ้วน เกาะอยู่ตรงยางขอบกระจกของวงกบสแตนเลสด้านในร้านตรงระดับสายตาพอดี ด้วยท่าเอาหัวลงแต่ชูคอสูงจ้องแป๋วตรงมาที่ตาผม

ผมนึกในใจว่า เออ ลูกจิ้งจกตัวนี้มันกล้าดีเว้ย เรากำลังเช็ดกระจกอยู่ก็ต้องมีการเคลื่อนไหววูบวาบ แต่มันก็ไม่ตกใจไม่หนี แถมยังจ้องเราอย่างตาไม่กระพริบอีกต่างหาก (อืม แล้วที่จริงจิ้งจกมันมีการกระพริบตาหรือเปล่านะ?)

คืนนั้นแฟนผมโทรมา ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ว่าเจอลูกจิ้งจกตัวเล็กๆ เกาะอยู่ตรงยางขอบกระจกจ้องตาผมไม่กระพริบ สองวันผ่านไป ผมก็ยังเห็นลูกจิ้งจกตัวนั้นเกาะอยู่ที่เดิม แฟนผมโทรมา ผมจึงเล่าให้เธอฟังอีกว่า เจ้าลูกจิ้งจกตัวเดิมยังไม่ไปไหน ... แฟนผมตั้งข้อสงสัยว่ามันกำลังดักกินแมลงอยู่ ผมตอบว่าถ้าจริงก็ดีเหมือนกัน แต่ทำไมมันไม่ยอมปรับสีตัวเองให้เข้ากับสแตนเลสสีขาวๆ เหมือนวงกบด้านในร้าน แต่ดันปรับตัวเป็นสีดำเหมือนสแตนเลสนอกร้านมากกว่า แล้วก็ฮากันเล็กน้อย และเนื่องจากผมไม่ต้องการเข้าไปก้าวก่ายรบกวนธรรมชาติ ผมจึงไม่ได้สนใจที่จะไปไล่หรือรังแกมัน

ผ่านไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งอาทิตย์ ผมยังคงเห็นมันอยู่ที่เดิมในท่าเดิม ผมยิ่งประหลาดใจขึ้นอีก พอดีมีพี่ลูกค้าคนหนึ่งเข้ามา ผมก็เล่าให้พี่เขาฟังว่า ลูกจิ้งจกตัวนี้อยู่ตรงนี้มานานแล้ว ไม่ไปไหน สิ่งที่เปลี่ยนไปก็แค่มันดูผอมลง คราวนี้ผมนึกเอะใจ เลยเอามือเข้าไปลองจับตัวมันดู ปรากฏว่ามันก็ไม่ขยับไปไหน ผมลองจับหางมันเพื่อจะยกมันออกมา แล้วจึงได้รู้ความจริงว่า ตัวมันติดหนึบอยู่กับยางนั่นเอง

ตอนนั้นผมนึกอยู่สองทาง คือ หาอาหารให้มันกินในท่านี้เลย เพื่อให้มันแข็งแรงก่อน หรือหาวิธีช่วยมันออกมาอย่างเร็วที่สุด แล้วจึงค่อยหาอาหารให้มันกิน นึกมานึกไปความคิดที่สองดูจะมีเหตุผลที่ดีกว่า ผมจึงพยายามแซะเจ้าลูกจิ้งจกผอมบักโกรกตัวนั้นออกมาจากยางขอบกระจก ด้วยมีดคัตเตอร์ โดยพยายามให้มันได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด

เมื่อแซะเจ้าลูกจิ้งจกผอมโซออกมาได้แล้ว ผมก็สังเกตเห็นว่าขาหลังทั้งสองข้างของมันเป็นอัมพาตไปแล้ว แถมปัญหาต่อมาคือ จะเอาอะไรให้มันกิน ... ผมถามทุกคนที่พบ ตั้งแต่แฟนผมที่โทรมาพอดี ลูกค้าในร้าน พนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น แทบทุกคนบอกว่าให้จับแมลงให้มันกิน แต่ผมปฏิเสธ .. เพราะไม่ต้องการเบียดเบียนชีวิตแมลง (โดยตรงด้วยตัวผมเอง แต่จะเลี้ยงเจ้าจิ้งจกตัวนี้ให้แข็งแรงพอออกไปล่าเหยื่อเองดีกว่า อิอิ)

ในที่สุดก็เลยซื้อขนมปังมา(กินเอง) แล้วบิส่วนนุ่มๆ ข้างในขนมปังแบ่งให้เจ้าจิ้งจกตัวนั้น โดยวางไว้ในมุมกล่องพลาสติกสีขาวขอบสูงที่ทำเป็นบ้านชั่วคราวให้มัน ส่วนอีกมุมผมหยดน้ำไว้ให้มันดื่ม

วันรุ่งขึ้นผมไปช่วยงาน Linux Empowerment วันแรก ก็ปล่อยให้มันอยู่ในกล่องทั้งวัน พอกลับมาตอนค่ำก็เอาอาหารเก่าทิ้ง แบ่งข้าวใหม่ให้มันกิน (ผัดกะเพราซะด้วย เผื่อว่าจะช่วยให้เลือดลมวิ่งดี)

เช้าอีกวัน ผมต้องไปช่วยงาน Linux Empowerment เป็นวันสุดท้าย ก็ดูเจ้าจิ้งจกน้อยในกล่อง เห็นว่ามันอ้วนขึ้นนิดหน่อย ผมเลยปล่อยให้มันออกมาสู่โลกกว้าง ตามทางของมันเอง หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอมันอีกเป็นเวลานาน

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ (จำไม่ได้ว่ากี่วัน) ขณะที่ผมกำลังกวาดพื้นร้านตอนเช้า ผมก็พบเจ้าจิ้งจกอัมพาตตัวนั้น ดิ้นกระแด่ว กระแด่วอยู่แถวๆ ปลายไม้กวาดดอกหญ้า เพราะหางของมัน (เป็นอัมพาตเหมือนกัน) ติดอยู่กับหยากไย่ และหยากไย่ก็ติดอยู่กับปลายไม้กวาดอีกที ผมจึงก้มลงดึงหยากไย่ออกจากหางของมัน พร้อมกับตั้งชื่อให้ลูกจิ้งจกตัวนั้นว่า "เจ้ากระแด่ว" (ตามอาการที่มันดีดตัวเองไปตามพื้น โดยมีขาหลังทั้งสองและหางชี้เด่ ก่อนจะหายไปใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งในร้าน)

ช่วงที่ผ่านมา ผมได้ขอให้ช่างแอร์ช่วยตัดต่อน้ำทิ้งจากแอร์ที่เคยไหลออกนอกร้าน ให้ไหลลงในถังน้ำที่เตรียมไว้ในร้านแทน เพราะผมต้องการเห็นว่าท่อน้ำตันหรือไม่ และได้อาศัยการนำน้ำออกไปเททิ้งนอกร้านนี้เป็นการออกกำลังกายไปในตัว แรกๆ ตั้งเวลาไว้ว่าเอาน้ำออกไปเททุกๆ สองชั่วโมง แต่หลังๆ ต้องเปลี่ยนเป็น ทุกๆ ชั่วโมงสี่สิบห้านาที เพราะโดนน้ำท่วมร้านไปรอบนึง (เดี๋ยวนี้เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้นอนกลางวันเลย)

น้ำทิ้งจากแอร์ถังสุดท้ายของวัน ผมมักจะเก็บไว้ก่อน เผื่อใช้ถูพื้น ถ้าไม่ได้ใช้ ก็ค่อยนำไปเททิ้งในวันรุ่งขึ้น

สายวันหนึ่ง ผมเข้ามาเปิดร้านและก็จะนำน้ำในถังออกไปเท เพราะคืนก่อนไม่ได้ถูพื้น ก็มองเห็นลูกจิ้งจกตัวหนึ่ง ลงไปลอยแอ้งแม้งอยู่ในถังรองน้ำทิ้งจากแอร์ ... แต่คราวนี้ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะใช่เจ้ากระแด่วตัวนั้นหรือเปล่า เพราะลูกจิ้งจกตัวที่ลอยอยู่ในถัง มันเป็นอัมพาตแข็งไปทั้งตัวแล้ว

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ถ้าผมไม่ลืม ผมจะนำน้ำถังสุดท้ายออกไปเททิ้งนอกร้านเสมอ ....

ถ้าหากเจ้ากระแด่วยังปลอดภัยดี ก็ดีใจด้วย และขอให้มีสุขภาพแข็งแรงต่อไป แต่ถ้าเจ้ากระแด่วได้หมดลมหายใจไปพร้อมกับการอาบน้ำครั้งสุดท้ายในถังใบนั้น ก็ขอให้ดวงวิญญาณของเจ้าไปสู่สุขคติเทอญ ... ด้วยความระลึกถึง ...

ป.ล. แล้วตกลง จิ้งจกกระพริบตาได้ไหมครับ?

Monday, June 14, 2004

อะไรเอ่ย ...

โดนย้ำแค้นจากทีมตราไก่ ไม่เป็นไร คืนนี้มาคลายเครียดก่อนลุ้นทีมมักกะโรนีต่อ ด้วยปัญหา อะไรเอ่ย ....

อะไรเอ่ย บีบตูด ดูดปาก ...
เฉลย ... ปีโป้

อาชีพอะไรเอ่ย สองมือจับเต้า เอวเด้า ปากดูด
เฉลย ... หมอแคน

(คำถามชักจะติดเรทขึ้นทุกทีหรือเปล่า? เปลี่ยนเรื่องดีกว่า)

====
เมื่อคืน เมื่อเช้า เมื่อตอนสาย เอาเป็นว่าก่อนตื่นขึ้นมาตอนสายๆ วันนี้ ฝันสนุกอีกแล้ว มีดาราดังอย่างเฮียเฉินหลงด้วย สนุกชะมัด ถ้าจะเล่าก็คงยาวอีก (เดี๋ยวงานทำเอกสารจะเสร็จไม่ทัน)

====
ดูกีฬาให้เป็นกีฬาดีกว่า อย่าเล่นพนัน ถ้าเมื่อไหร่นึกอยากเล่นพนันให้นึกถึงพระพุทธสุภาษิตข้อนี้ไว้

"การพนัน แพ้สร้างหนี้ ชนะก่อเวร"

(จบข่าว ไปทำงานต่อก่อน ... -_-" วันนี้ไม่ค่อยได้อู้ แต่ก็ไม่ค่อยได้งาน เพราะมีงานอื่นๆ แทรกทั้งวัน)

Sunday, June 13, 2004

ขยันจนลืมเซ็ง

เมื่อคืนอยากดูบอลยูโร แต่ไม่มีทีวี เลยพยายามหาทางฟังวิทยุที่ถ่ายทอดทางอินเตอร์เน็ต (เพราะนอกจากจะไม่มีโทรทัศน์แล้ว วิทยุก็ไม่มีเหมือนกัน) ในที่สุดก็ได้สถานีวิทยุ Sport Radio ใช้โปรแกรม vlc หรือ mplayer เปิดฟังก็ได้ โดยให้เลือกเปิดไปที่สถานีนี้

mms://203.170.198.56/fm99

ฟังคู่แรกคู่เดียว แล้วรีบนอน เพราะกลัวตื่นสาย ... แต่แล้ว เมื่อเช้าก็ตื่นตอน สิบนาฬิกาครึ่ง (นี่ถ้าอยู่ฟังคู่สองด้วย สงสัยว่าจะตื่นบ่ายหรือเปล่า?)

====
วันนี้ตั้งใจทำเอกสารที่จะใช้ในงาน Linux Expo. ทั้งวัน ได้เพิ่มมาแปดหน้า (ช่วงแรกๆ ทำตั้งหลายวันกว่าจะได้แปดหน้า)

มัวแต่ง่วนอยู่กับการเอกสารทั้งวัน (มีแอบอู้บ้างเล็กน้อย แหะๆ) พอมารู้ตัวอีกทีก็ค่ำแล้ว เลยไม่ได้มีเวลาเซ็งที่วันนี้ไม่มีลูกค้า ... เดือนนี้คงมีตัวแดงติดบัญชีอีกแล้ว เฮ้อ (เปิดเทอมแล้วนา ทำไมยังเงียบอีกว๊า)

====
บอลยูโรปีนี้ เชียร์อิตาลีเหมือนเดิม (คราวที่แล้วเสียประตูตลอดการแข่งขันแค่สองประตู แต่ดันเป็นได้แค่รองแชมป์) อ้อ เชียร์เชกด้วย แบบว่าเสื้อสวยดี แหะๆ

Saturday, June 12, 2004

เว็บนี้สนุกดี :)

ตอนเย็นๆ ค่ำๆ มีเด็กเอาโยโย่มาเล่นในร้าน เลยคิดจะหาเว็บเกี่ยวกับการเล่นโยโย่ท่าต่างๆ (คือหมายถึงที่เป็นลูกดิ่งหน่ะนะ ไม่ใช่ โยโย่ เชง)

ใช้ google search หาคำว่า yoyo toy action แล้วมีเว็บนี้ติดโผขึ้นมาด้วย http://aerospacescholars.jsc.nasa.gov/HAS/cirr/ss/6/4.cfm

ลองดูสิ เพลินดีเหมือนกัน (แม้จะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของเว็บเลยก็ตาม... หุหุ)

ลูกบอลสามลูก

สมัยที่ผมเรียน main course เกี่ยวกับ Event Management ที่เมือง Timaru ประเทศ New Zealand นั้น ชั่วโมงแรก อาจารย์ได้มอบหมายภารกิจหลักในการเรียนให้พวกเราอยู่สี่อย่างคือ

respect
balance
team
work

โดยอธิบายว่า respect คือการให้ความเคารพและยอมรับซึ่งกันและกัน เนื่องจากในชั้นเรียนนี้มีนักศึกษาจากหลายประเทศ (นิวซีแลนด์, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อินโดนีเซีย และไทย) ซึ่งย่อมต้องมีความเชื่อ ความคิด สภาพแวดล้อมสังคมที่เดิบโตมาแตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงต้องให้เกียรติคนอื่นๆ อย่างเสมอภาคโดยการเคารพในสิ่งที่เขาเป็น

balance คือการทำให้ชีวิตมีสมดุล ในการเรียนจะมีทั้งการทำงานหนักและมีช่วงเวลาผ่อนคลาย ทุกคนสามารถแทรกโจ๊กเข้ามาระหว่างการเรียนได้ แต่ต้องไม่ทำให้งานเสียหาย

team หมายถึงต้องทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ และต้องยึดหลัก "There has no I in team" ทุกคนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้สามารถจบหลักสูตรนี้ได้ทุกคน (นอกจากคนคนนั้นจะท้อถอยและถอนตัวออกไปเองโดยไม่ปรึกษาใครก่อน)

work (hard & very hard) ตลอดระยะเวลาที่ศึกษาต้องทำงานกันหนักมาก เพราะจะไม่มีการสอบ เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องของภาษา แต่จะให้ทำ assignment แทน (แรกๆ ทำกันสัปดาห์ละฉบับ หลังๆ ทำเฉลี่ยสัปดาห์ละสองฉบับ .. หัวโตกันเป็นแถบ)

นอกจากนี้ระหว่างการศึกษาอาจารย์ยังได้ให้ข้อคิดอีกอย่างกับพวกเราคือ .. ชีวิตเราก็เหมือนกับกำลังโยนลูกบอลสามลูกอยู่ในอากาศ (juggle)

ลูกบอลทั้งสามลูกมีอะไรบ้าง ลูกที่หนึ่งเป็นลูกบอลยาง ลูกที่สองทำจากโลหะ และลูกสุดท้ายทำด้วยแก้ว

บอลแต่ละลูกเป็นตัวแทนของอะไรในชีวิตเราบ้าง ...

ลูกบอลยางหมายถึงหน้าที่ อาชีพ การงาน
ลูกบอลโลหะหมายถึงสุขภาพร่างกาย
ลูกบอลแก้วหมายถึงชีวิตครอบครัว สังคม เพื่อนฝูง

อาจารย์บอกว่า หากเมื่อไหร่ที่เราไม่สามารถรักษาสมดุลในการโยนบอลทั้งสามลูกนี้ได้ ก็จะทำให้บอลตกลงสู่พื้น อาจจะตกลูกเดียว หรือสองลูก หรือทั้งหมด แต่ถ้าเป็นลูกบอลยาง มันไม่เสียหาย มันไม่บุบไม่แตก ถ้าบอลโลหะตก แรกๆ อาจจะไม่เป็นไร แต่ถ้าบ่อยเข้ามันอาจจะบุบ และเมื่อมันบุบแล้ว มันก็อาจจะไม่สามารถคืนรูปกลับมาเหมือนเดิมได้ และที่แย่ที่สุดคือถ้าเราทำบอลแก้วตก เราอาจจะทำมันตกได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ตอนสรุปท้ายเรื่อง อาจารย์บอกว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราจำเป็นต้องทำบอลตกลงสู่พื้น จงเลือกลูกที่จะตกให้ดี และพยายามรักษาลูกที่เหลือไว้ให้ได้

ข้างบนนั้นเป็นชั่วโมงเรียนแรกๆ ... ตอนชั่วโมงสุดท้าย ประโยคสุดท้ายที่อาจารย์สอนพวกเราคือ "Don't forget to respect the balance."

คุณละครับ คิดไว้หรือยังว่าบอลลูกไหนสำคัญที่สุดสำหรับคุณ :)

Friday, June 11, 2004

blog เมื่อวานหายไปอีกแล้ว ..

เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วเนี่ยะ .. ฮือๆ

เหมือนๆ จะไม่สบายอีกแล้วสิเนี่ยะ ... chroot ช่วยชีวิต

วันนี้เงียบเชียบทั้งวัน ไม่รู้ว่าลูกค้าหายไปไหนกันหมด ... สงสัยว่าจะเก็บเงินไว้สำหรับเทศกาลบอลยูโรที่กำลังจะมาถึง หรือไม่ก็เอาไว้ซื้อหวยหงส์ ..

บ่ายๆ เย็นๆ รู้สึกไม่ค่อยสบายอีกแล้ว เริ่มแสบๆ คอ ง่วง มึน (ไม่ได้นอนกลางวันติดต่อกันมาหลายวัน แถมกลางคืนก็นอนไม่หลับอีก ... บ่ายนี้เลยแอบหลับไปหนึ่งยก) ที่น่ารำคาญที่สุดคือแผลร้อนในตรงริมฝีปากบนด้านซ้าย รอยแผลตรงกับปลายฟันซี่ที่น่าจะเรียกได้ว่าเขี้ยว (ทื่อๆ) พอดี ขยับปากพูดก็เจ็บ อ้าปากหาวก็เจ็บ จิบกาแฟก็เจ็บ เอ่ยปากบอกว่ารักแฟนยังเจ็บเลย (แต่อันนี้ทนได้ เพราะแฟนมีขนมมาฝากอีกแล้ว อิอิ เย็นนี้ได้กินโก๋แก่ กับขนมจีบ .. อร่อย)

สาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับมาหลายคืน น่าจะมาจากต้องคอยลง LinuxTLE 5.5 ที่ hda1 ใหม่อยู่เรื่อยๆ บวกกับความกังวลว่าจะทำเอกสารประกอบในงาน Linux Expo. ปลายเดือนนี้เสร็จไม่ทัน เพราะไม่มี OpenOfficeTLE 1.1.0 ให้ใช้งานเลย มีแต่ OpenOfficeTLE 1.0.2 ทั้งร้าน ทั้งที่เพียรพยายามลง LinuxTLE 5.5 Samila ที่ hda1 มาหลายรอบก็มักจะมีปัญหาอยู่เสมอ (เรื่องของเรื่องคือโลภ อยากได้ LinuxTLE 5.5 with KDE 3.2 & Gnome 2.6 plus OpenOfficeTLE 1.1.0 and OpenOfficeTLE 1.0.2 แล้วทำไม่ได้ดังใจสักที)

เมื่อคืนลง TLE 5.5 และทำการ apt-get เพื่อให้ได้ KDE 3.2 และ Gnome 2.6 แล้วเข้า xwindow ไม่ได้ เข้าใจว่าจะมีปัญหากับ NVIDIA_GLX เลยต้องทำการ apt-get install XFree86-Mesa-libGL ลงไปแทน จึงเข้า xwindow ได้

ตอนเย็นเข้าไปบ่นๆ ปัญหาเรื่องเข้า x ไม่ได้หลังจาก apt-get upgrade แล้วก็เลยได้วิธี chroot มาใช้ งานนี้ต้องขอขอบคุณ คุณ TarePanda, TangoTimmy และ MrChoke ที่ช่วยกันเป็นสามประสานจนผมสามารถเรียก TLE 5.5 ที่อยู่ใน hda1 ขึ้นมาใช้งานพร้อมกับ TLE 5.5 ที่กำลังทำงานอยู่บน hda3 ได้ เย้ !

วิธีทำ chroot อยู่ที่นี่
# /etc/init.d/xfs start
# mount -t proc /proc /hda1/proc
# /usr/sbin/chroot /hda1
# startx

คราวนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มี OpenOfficeTLE 1.1.0 ใช้ในระหว่างที่ยังเปิดร้านอยู่ แต่สิ่งที่ต้องกังวลกลับกลายเป็นว่า จะขยันทำให้มันเสร็จตามเวลาที่ตั้งใจไว้ได้หรือเปล่า (ไม่มีข้ออ้างแล้วด้วยสิ)

ตั้งใจว่าต่อไปจะลง main Linux เอาไว้ที่ hda1 เท่านั้น จะไม่ลงสลับไปสลับมาอีกแล้ว เพราะขี้เกียจเปลี่ยนค่า GRUB เป็นที่สุด ส่วนเครื่องที่ให้ลูกค้าใช้ในร้าน ก็จะทำการสังคยานาใหม่หมดเร็วๆ นี้ ตั้งใจว่าจะลง main Linux ไว้ที่ hda1 แล้วลง Japanese Linux ไว้ที่ hda3 พอมีลูกค้าชาวญี่ปุ่นมาใช้งานก็ทำการ chroot ขึ้นมาให้เขาใช้ ..

อืม ทิศทางการทำงานเริ่มเป็นระเบียบมากขึ้น แล้วทิศทางการทำเงินจะดีขึ้นด้วยหรือเปล่านะเนี่ยะ?

Wednesday, June 09, 2004

เหนื่อย ...

รู้สึกเมื่อยๆ แถวๆ กลางอก คงจะเหนื่อยเกินไป ... หรือไม่ก็เป็นเพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับแล้วตื่นเช้า พอตกบ่ายๆ เย็นๆ ก็เครียดอีก ... เฮ้อ เหมือนๆ จะหายใจไม่ทันแฮะ

ฝนตกตอนหัวค่ำ หวังว่าคืนนี้จะนอนสบาย ...

Tuesday, June 08, 2004

มาเล่าความฝันให้ฟัง

ความฝันที่จะเล่าให้ฟังเป็นความฝันจริงๆ แบบว่าหลับฝัน ไม่ใช่ความฝันที่ตื่นอยู่แล้วหวังจะให้มันเป็น ...

บ่อยครั้งที่ผมฝันแล้วรู้สึกว่ามันสนุกดี บางทีก็รีบจดลงสมุดบันทึกเมื่อตื่น บางทีก็จดลงสมุดบันทึกทั้งที่ยังหลับฝันอยู่ (ก็คือฝันว่าจดบันทึกแล้วนั่นแหละ เหมือนฝันซ้อนฝัน) แล้วพอตื่นมาก็ไม่ได้จดแล้วก็ลืมว่าฝันอะไรบ้าง รายละเอียดปลีกย่อยมีอะไรบ้าง

ก่อนตื่นเช้านี้เอง (เช้าของผม ที่บ้านเรียกว่าสายโด่ง) ผมฝันไปว่า ได้มีการจัดงานแสดงความสามารถนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศและผมเป็นหนึ่งในผู้ชม สถานที่ที่ใช้ในการจัดงานเป็นเหมือนโรงภาพยนตร์ใหญ่มากๆ แห่งหนึ่ง และผู้เข้าชมแต่ละคนจะสามารถลงคะแนนโหวตให้การแสดงแต่ละชุดได้ โดยการแสดงในคืนนั้นเป็นการแสดงที่ได้รับการคัดเลือกมาแล้วว่าเด็ดสุด มีทั้งหมดห้ารายการ

มีการแสดงอยู่สองชุดที่ผมจำได้ (ในฝันเหมือนกับว่าผมเข้าไปสาย การแสดงที่สามจบลงพอดี ผมได้ทันดูการแสดงสองรายการที่เหลือ) และที่ผมประทับใจมากมีอยู่ชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นการแสดงนาฏกรรมไทยประยุกต์ คือเป็นการรำไทย ใช้ดนตรีไทยทำนองร่วมสมัย แต่ชุดที่ผู้รำสวมใส่เป็นชุดแบบลิเก มีผู้รำที่เป็นชายเพียงคนเดียวสวมชุดแดงอยู่กลางเวที ที่เหลือเป็นหญิงสวมชุดสีเขียวอ่อนๆ กระจายอยู่โดยรอบ (รายละเอียดการแสดงไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน) เมื่อจบการแสดงผู้ชมทั้งหมดต่างก็ปรบมือให้กับผู้แสดงต่อเนื่องยาวนาน จนผู้จัดต้องเปิดม่านให้ผู้แสดงทั้งหมดออกมาโค้งคำนับขอบคุณถึงสองรอบ (เพราะผู้ชมไม่ยอมหยุดปรบมือ)

ส่วนการแสดงอีกหนึ่งรายการที่ผมจำได้ เป็นรายการต่อจากนาฏกรรมไทยประยุกค์ เป็นมิวสิควีดิโอที่ฉายขึ้นจอภาพยนตร์ขนาดยักษ์ ซึ่งมิวสิควีดิโอนี้ดำเนินการทุกอย่างโดยนักศึกษาสี่คนที่ได้รับทุนไปเรียนอยู่ต่างประเทศ (อยู่กันคนละประเทศในทวีปยุโรปแต่ตอนเรียนอยู่ในไทยอยู่สถาบันเดียวกัน คนละคณะวิชา คนละชั้นปี) ที่การแสดงชุดนี้ได้เข้ารอบมา เพราะว่าคณะกรรมการเห็นถึงความพยายามที่จะทำงานของพวกเขา เพราะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวพวกเขาเอง แต่งเนื้อร้อง ทำนอง หาสถานที่ ถ่ายทำมิวสิค (มีแต่พวกเขาสี่คนในมิวสิควีดิโอ) ฯลฯ ที่จริงสิ่งที่ทำให้ผมจำการแสดงรายการนี้ได้เพราะทำนองดนตรีแปลกๆ (ตอนตื่นมาใหม่ๆ ยังร้องเพลงของพวกเขาได้อยู่ท่อนนึงเลย แต่ตอนนี้ลืมไปแล้ว เพราะไม่ได้จดเนื้อร้องไว้) เพลงที่นำเสนอเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม เกี่ยวกับการหาโอกาสเดินทางออกไปสู่โลกใหม่โดยที่เรายังอยู่ที่เดิม (งงไหม เพราะอย่างนี้ไงผมถึงจำได้ เนื่องจากมันแปลก) คือเขาพยายามบอกให้พวกเราช่วยกันทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น เพื่อที่ว่าเราอยู่ที่ไหนก็ได้ มันไม่ใช่แค่การอนุรักษ์ แต่เป็นการขอร้องให้ร่วมมือช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อมดีๆ ให้เกิดขึ้นด้วยตัวของพวกเราเอง

รายละเอียดของวงดนตรีนั้นผมจำได้นิดหน่อย มีมือเบสที่เล่นกีต้าร์ด้วยมือขวา ผอมสูง (น่าจะอายุมากที่สุดในกลุ่ม) ตัดผมทรงสกินเฮด หน้าตาย (ที่จริงก็หน้าตายกันทั้งวง ไม่มีใครยิ้มยกเว้นนักร้องคนเดียว) นักร้องหน้าใสๆ ผมตัั้งๆ (น่าจะเด็กที่สุดในกลุ่ม) ฉากที่ผมจำได้แม่นก็คือ ฉากที่ทุกคนนั่งๆ นอนๆ อยู่ในสวนสาธารณะเขียวขจี แล้วก็ร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ (ยกเว้นนักดนตรีที่เหลือที่ไม่ยอมยิ้ม)

ทำนองเพลงของพวกเขาแปลกๆ แบบว่าฟังแล้วเดาทางไม่ถูกว่าต่อไปจะเป็นยังไง อาจจะเหมือนนำกลอนเปล่ามาใส่ดนตรีมั๊ง ... แต่ก็สนุกดี และทำให้คิดได้ว่า บางทีเราไม่ควรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ เพียงแค่การไม่ทำลายมันลง แต่เราควรที่จะช่วยกันสร้างมันขึ้นมาด้วยต่างหาก

จบเรื่องความฝันแต่เพียงเท่านี้ ไว้เมื่อไหร่ฝันสนุกๆ อีกจะมาเล่าให้ฟังอีกครา ;)

====
ปลายปีที่แล้ว ผมคิดอยากทำร้านให้เป็นสหกรณ์ แต่ก็แค่คิดเล่นๆ และเมื่อต้นปีผมได้กลับไปงานสถาปนามหาวิทยาลัยขอนแก่น ๔๐ ปี ผมได้ผ่านไปทางสหกรณ์มหาวิทาลัย แล้วก็คิดถึงสมัยที่เราเป็นนักศึกษาและเป็นสมาชิกสหกรณ์ โดยได้รับความรู้เรื่องสหกรณ์จากวิชาที่พวกเราเรียกว่า Co-op (เป็นหนึ่งในบรรดาวิชาที่ช่วยให้ผมไม่โดนรีไทร์ออกมาตั้งแต่ปีหนึ่ง) ทำให้ผมคิดถึงการตั้งสหกรณ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่พอคุยกับเพื่อนๆ แล้ว ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ จนกระทั่ง คุณสมเจตน์ มากล่าวเรื่อง สหกรณ์โอเพ่นซอร์ส ไว้ที่ Thailinuxcafe ซึ่งตรงกับความต้องการของผมพอดี แล้วก็เริ่มพูดคุยกัน จากนั้นพี่หวังเจ้าของเว็บ Thailinuxcafe ก็จัดการเปิด หัวข้อใหม่ เพื่อให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะ ถ้าสนใจเชิญ คลิ๊ก เข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ

====
Simon the GIANT

จำเจ้าหนูไซมอนที่ผมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ Yo-Yo และท่าจูงหมาเดินคราวก่อนได้ไหมครับ :) วันนี้ไซมอนเป็นยักษ์ ...

หลายวันก่อน ผมเห็นเจ้าหนูไซมอนไม่มีเพื่อนเล่น วิ่งไป วิ่งมา แล้วก็มานั่งบังประตูทางเข้าร้าน (คงหวังจะได้รับแอร์เย็นๆ เวลาที่คนเปิดประตูเข้า-ออก เหมือนสมัยที่ผมเป็นเด็กชอบไปนั่งหน้าร้านกนิษฐ์พิซซ่ากระมัง) ผมก็เลยคิดจะทำของเล่นให้เขาได้เล่น ของเล่นที่ผมคิดว่าง่ายในการทำ และเด็กๆ คงชอบคือเครื่องบินกระดาษ ผมจึงบรรจงลงมือพับเครื่องบินกระดาษรุ่นสองหัวให้เขา แต่พอพับเสร็จ ปรากฏว่าไซมอนวิ่งหนีเข้าซอยไปหาย่าแล้ว ผมจึงเก็บเครื่องบินลำนั้นไว้ (แอบเอาออกมาเล่นบ้างเหมือนกัน) รอเวลามอบเครื่องบินให้เขาทีหลังเมื่อมีโอกาส

วันนี้ไซมอนมาพร้อมกับขวานพลาสติกสีเหลืองสด ด้ามสีชมพูสวยงาม (ขวานยาวกว่าแขนไซมอนอีก) เดินกร่างผ่านหน้าร้านผม แล้วก็หยุดเอาขวานจามฟุตบาทเป็นระยะๆ พร้อมคำราม ... ผมเห็นว่ามันดูดุร้ายไปหน่อยสำหรับเด็กอายุสองขวบ แล้วก็นึกถึงเครื่องบินลำที่ผมพับเตรียมไว้ให้เขาขึ้นมาได้ จึงทำการค้นหา (ตามซอกโต๊ะที่รกๆ ตามธรรมชาติ) เมื่อพบแล้วก็ออกไปมอบให้กับไซมอน พร้อมกับร่อนเป็นตัวอย่างให้เขาดูสองสามครั้ง พอผมมอบเครื่องบินให้ไซมอน เขาก็ยิ้มดีใจ ฉวยเครื่องบินกระดาษขึ้นมากำ ด้วยมือซ้าย แล้วถือขวานด้วยมือขวา เดินกร่างไปหาย่า โดยไม่ลืมที่จะหยุดเอาขวานจามฟุตบาทเป็นระยะๆ พร้อมคำราม ก๊าส ก๊าส ...

ผมทำให้ไซมอนเป็นยักษ์ที่สมบูรณ์แบบไปซะแล้ว ... (จะมีหน่วยรบไหนมาโจมตียักษ์ตนนี้ไหมเนี่ยะ เป็นห่วง)

Monday, June 07, 2004

ลืม ลืม ลืม ...

มีเรื่องอยาก blog (บ่นนะ ไม่ใช่เห่าแบบน้องหมา) เต็มไปหมด แต่พอจะเริ่มเขียนดันลืมซะได้ว่าจะเล่าอะไรบ้าง ... สงสัยว่าต่อไปก่อนจะลงมือ blog ต้องทำ mind map ซะก่อนแล้ว .. เฮ้อ

====
นึกได้เรื่องนึงแล้ว เรื่องวิตามินซี แรกๆ เขา (นักวิทยาศาสตร์ที่ไหนสักแห่ง) วิจัยออกมาว่า การกินวิตามินซีสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยป้องกันโรคไข้หวัดแล้ว ยังสามารถช่่วยป้องกันโรคไขข้ออักเสบ (หรือไขข้อเสื่อมอะไรพรรณนี้แหละ) ได้อีกด้วย แต่เมื่อไม่นานมานี้ เขา (นักวิทยาศาสตร์ที่ไหนสักแห่ง คาดว่าเป็นคนละเขากับคนแแรก) ก็วิจัยออกมาว่า การกินวิตามินซีมากๆ จะทำให้เกิดโรคข้อเสื่อม (หรืออักเสบอะไรสักอย่าง) ได้ต่างหาก ...

ดังนั้นผมจึงหยุดโครงการซื้อวิตามินซีกินไว้ชั่วคราวก่อน เพราะรู้สึกว่าปวดข้อพับเข่าขวามาสักระยะใหญ่ๆ แล้วเหมือนกัน บวกกับวิตามิน M(oney) ก็ยังไม่งอกเงย (ขายของเก่าออกไปหลายชิ้นแล้วเนี่ยะ) จึงถือได้ว่าเหตุผลหนักแน่นพอที่จะหยุดโครงการไว้ชั่วคราว

====
ที่จริงตะกี้นึกได้อีกเรื่องนึงแล้ว แต่พอลุกไปทำอย่างอื่นแล้วก็ลืมอีกแล้ว (ว๊า ... หยุดอายุตัวเองไว้ที่ ๒๗ แล้วแท้ๆ เชียว ทำไมยังหลงๆ ลืมๆ เหมือนคนแก่อีกนะเนี่ยะ)

Sunday, June 06, 2004

Simon walks the dog

เคยเล่น Yo-Yo กันบ้างไหมครับ? ต้องเป็นแบบ advance หน่อยนะ คือเป็นแบบที่มีปลายเชือกเป็นบ่วงอยู่ตรงแกนลูกดิ่ง เพื่อให้ลูกดิ่งมันหมุนฟรีได้ จะได้เล่นท่าพิศดารต่างๆ เช่น Around the world, Walk the dog ได้ เป็นต้น

ผมจำได้ว่าท่า Walk the dog เป็นท่าที่มีความยากระดับอ่อนๆ คือไม่ยากมากนัก แต่กว่าจะฝึกให้ทำได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่นานเหมือนกันแหละ ส่วนใหญ่พอ walk ไปแล้ว the dog จะตายไปเลย คือพอลูกดิ่งวิ่งไปสุดเชือกแล้วเราจะเรียกให้มันกลับมาเข้ามืออีกไม่ได้ หรือบางคนถึงกับทำเชือกหลุดมือ แล้ว the dog ก็กลิ้งไปพร้อมเชือก จนหมดแรงตายไปเอง คนอื่นๆ ก็จะหัวเราะเฮฮา เป็นเรื่องน่าขำ ส่วนคนที่สามารถ walk the dog ได้อย่างสมบูรณ์แบบก็จะรู้สึกว่าเท่ประมาณหนึ่ง ก่อนที่จะต้องขวนขวายพยายามทำท่าใหม่ๆ ให้ได้ต่อไป

ย่ำค่ำวันนี้เอง ผมเห็นเด็กแถวๆ ร้านชื่อไซมอน อายุราวๆ สองขวบ (กำลังซนน่ารักเชียว) เดินลากลูกดิ่งไปตามฟุตบาท เพื่อให้ลูกดิ่งกลิ้งพร้อมกับม้วนเชือกเข้ามาหาตัวเขา เมื่อทำสำเร็จเขาก็หยิบลูกดิ่งที่มีร่องรอยถลอกปอกเปิกไปทั้งลูกขึ้นมา แล้ววิ่งไปหาพ่อ พร้อมกับชูลูกดิ่งขึ้นอวดอย่างดีใจ ... ผมกะประมาณว่า นั่นคงเป็นการ walk the dog ที่สมบูรณ์แบบของไซมอน เขาจึงมีความสุขถึงขนาดนั้น

ความสุขแบบเด็กๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความเท่ .. เป็นความสุขแบบใสๆ ดีเหมือนกัน จริงไหมครับ :)

Saturday, June 05, 2004

คางคกร่าเริงเลย

ฝนเอย ฝนตก คางคกได้ใจ ร้องเพลงเรื่อยไปว่ามันชอบใจน้ำนะ
แล้วพอน้ำแห้ง มดแดงได้ท่า ร้องเพลงออกมาว่ามันได้ปลาไปกิน
ร้องเสียงดังจังเลย คงไม่เคยดีใจ
ร้องแล้วมันสบายใจดี
ร้องแล้วได้อะไร ประหลาดใจเต็มที
ร้องแล้วอารมณ์ดีครื้นเครง ..

[บางส่วนจากเพลง คางคกร่าเริงเลย ของ นูโว (หวังว่าคงจำเนื้อและชื่อเพลงไม่ผิดนะ)]

====
เมื่อเช้าฝนตกหนักมาก โชคดีที่แฟนโทรมาปลุกเพราะกลัวว่าจะหลับเพลินแล้วเปิดร้านสาย (ก็บรรยากาศมันชวนให้ไม่ตื่นจริงๆ ด้วยนี่นะ)

ตอนเดินกลับบ้าน น้ำท่วมถนนขึ้นมานิดนึง บวกกับใส่รองเท้าฟองน้ำแบบเดินแล้วดีดส้นดังแตะ แตะ ทำให้ขากางเกงยีนส์เปียกขึ้นมาถึงครึ่งแข้ง (กะจะใส่ยีนส์ตัวเดิมต่ออีกวัน เลยต้องอด)

ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าฝนตกหนักไม่กี่ชั่วโมง แต่ทำไมน้ำท่วมได้ ก็พึ่งเห็นว่ามีการขุดลอกท่อไปเมื่อไม่นานนี้เองนี่นา

====
ตอนเย็นหิวขนม โทรไปอ้อนแฟนให้มาหาที่ร้าน แต่เธอไม่หลงกล เลยอด (รู้สึกว่าตอนนี้จะผอมลงไปสามกิโลได้ ฮือๆ)

====
วันนี้หาวิธีทำให้ realplayer เป็น plug-in ใน mozilla ได้แล้ว เย้ เริ่มจาก
๑. ไปดาวน์โหลด realplayer ที่ http://get.real.com/RJP1/61.195.68.20/0510efa53ad63cfd9c14/unix/rp8_linux20_libc6_i386_cs2_rpm ก็จะได้ไฟล์ rp8_linux20_libc6_i386_cs2_rpm มาหนึ่งอัน แล้วก็สั่ง rpm -ivh rp8_linux20_libc6_i386_cs2_rpm เลย (ไม่ได้ดูว่ามันไม่ใช่ .rpm แต่ก็ปรากฏว่าลงได้ด้วยนะ เออ เอากะมันสิ)
๒. ให้ run realplayer ขึ้นมาทีนึงก่อน (ใช้คำสั่ง realplay ใน terminal แล้วมันจะเปิดโปรแกรมขึ้นมา) เนื่องจากต้องมีการตั้งค่าอะไรต่างๆ ก่อน และเมื่อเรียบร้อยแล้วก็จัดการขั้นต่อไป
๓. ก๊อปปี้ ไฟล์ rpnp.so ไปใส่ไว้ใน plugins ของ mozilla (ใช้คำสั่ง cp -af /usr/lib/RealPlayer8/rpnp.so /usr/lib/mozilla-1.6/plugins/ แป๊บเดียวก็เสร็จ)

แค่นี้เอง ทีนี้ก็ไปฟังเพลง ฟังข่าวจาก www.bbc.co.uk ได้แล้ว :D

Friday, June 04, 2004

คืนนี้นอนที่ร้านดีกว่า ...

เมื่อคืนกลับไปนอนที่บ้าน กะว่าจะนอนตื่นสายให้ฉ่ำปอด ... ล้มตัวลงนอนแล้วก็หลับสนิทไปเลยคงเป็นเพราะเพลียมาก และไม่มีเรื่องกังวลใดๆ แต่แล้วก็ถูกคุณแม่ปลุกให้ขึ้นมาช่วยงานตั้งแต่เช้า ... (ลูกแม่ไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้มานานแล้วนาครับ ... แง๊)

ตื่นมากวาดบ้าน ถูบ้าน เรียงน้ำ เรียงขนม เพราะคุณแม่วาดหวังจะฝากอนาคตของร้านซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวไว้ที่เราดูแลต่อไป เลยจะให้เรียนรู้งานที่บ้านทั้งหมด .. อ้อ ขึ้นไปรดน้ำต้นไม้ที่บนดาดฟ้าด้วย (อีกไม่นานต้องโดนใช้ให้ไปตัดแต่งกิ่งอีกแหงๆ)

เสร็จงานแล้วก็อาบน้ำ แต่งตัว ไปกินข้าวขาหมูของโปรดเจ้าประจำในตลาด กินกันมาตั้งแต่เด็กจนเดี๋ยวนี้นับญาติกันแล้ว

กระบวนการทั้งหมดทั้งสิ้นที่กล่าวมาข้างบน จบลงหลังเก้านาฬิกาเล็กน้อย (ก็ตื่นเช้ามากกกกกก อะนะ -_-')

เลยตัดสินใจไปซื้อของที่พันธุ์ทิพย์ดีกว่า ถือโอกาสไปเปลี่ยนบรรยากาศซะด้วย (การเดินทางออกจากร้านไปยังสถานที่อื่นที่ไม่ใช่การกลับบ้านของผม ก็เหมือนได้ไปตากอากาศที่ต่างจังหวัดเลยทีเดียว จะต่างกันก็เพียงแต่ว่า ผมยังคงได้รับมลพิษของเมืองหลวงตลอดเวลาที่ตากอากาศอยู่เช่นเดิม)

วันนี้ซื้อดิสก์เก็ตมาสี่กล่อง CD-R ห้าสิบแผ่น (หนึ่งแถวสั้น) กล่องใส่ซีดีหนึ่งแถว ปากกาเขียนซีดีหนึ่งด้าม และก็กระดาษสำหรับพิมพ์สีด้วยเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทหนึ่งห่อ ... เหลือตังค์ติดตัวเล็กน้อย กลับร้านดีกว่า ..

กลับมาถึงร้านก่อนเที่ยง วันนี้มีลูกค้าตั้งแต่เปิดร้านจนถึงเย็นเฉลี่ยชั่วโมงละ ๐.๗๕ คน -_-"

หกโมงเย็นมีเพื่อนเก่าสมัยมัธยมต้นมาหาสองคน แถมด้วยเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยอีกหนึ่งคน แล้วก็เริ่มมีลูกค้าเข้าร้านจนเต็ม .. พอเพื่อนบอกว่าจะกลับ เลยดึงตัวไว้จนดึก ไม่ให้กลับ เพราะถือว่าเป็น "นายกวัก" เรียกลูกค้าเข้าร้าน

อ้อ เย็นนี้แฟนกลับบ้าน ซื้อเลย์ สาหร่ายโนริมาฝากด้วย (ของโปรด) ... (ยื่นน้ำแข็งให้คุณมาร์คไว้โป๊ะตาสองก้อนก่อน ผมรู้ว่าคุณต้องตาร้อนอะ อิอิ)

เพื่อนๆ กลับไปแล้ว ลูกค้าเริ่มหมด ร่างกายเริ่มออกอาการเพลีย ... แต่ตั้งใจไว้แล้วว่า คืนนี้จะอยู่นอนที่ร้าน .. แล้วถ้าตื่นเช้า ค่อยกลับไปช่วยงานที่บ้านก็แล้วกัน (นะครับ ม่าม๊า)

Thursday, June 03, 2004

งึมงัม งึมงัม .. (ง่วงนอนชะมัด)

ไม่ได้นอนตามปกติมาสามคืนติดต่อกัน พอบ่ายๆ เย็นๆ จะรู้สึกเบลอๆ ลอยๆ ... พอค่ำหน่อยก็จะฟุบลงไปกับโต๊ะซะให้ได้ ... คืนนี้คงต้องรีบนอน

====
ตอนเย็นอินเตอร์เน็ตมีปัญหา สัญญาณ adsl มาไม่สม่ำเสมอ มาๆ หลุดๆ เลยตัดสินใจ down adsl ชั่วคราว แล้ว up ระบบ backup ขึ้นไปแทน พักใหญ่ๆ adsl ก็กลับมาใช้ได้อีกครั้ง (โชคดีที่คราวนี้ระบบ backup ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ดีใจจัง)

====
ตอนบ่ายมีน้องผู้หญิงมาที่ร้านสองคน น้องคนแรกถามว่า "พี่มีโปรแกรม Photo Shop ไหม?"

ผมก็บอกว่า "ไม่มีครับ มีแต่ The GIMP (GNU Image Manipulation Program)"

น้องคนเดิมก็ถามอีกว่า "แล้วมันจะเปิดไฟล์ของหนูได้ไหมอะ?"

ผมก็ตอบว่า "มันขึ้นอยู่กับว่าน้องเซฟไฟล์มาเป็นนามสกุลอะไร"

น้องคนแรกจึงบอกผมว่า "หนูไม่รู้ต้องถามคนโน้น เค้าเป็นคนเซฟใส่แผ่น" พร้อมกับหันหน้าไปทางน้องผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่

ผมจึงนำแผ่น floppy ยัดเข้าเครื่อง และทำการ mount ระหว่างที่รอเครื่อง mount แผ่น ผมก็เดินไปหาน้องคนที่นั่งอยู่แล้วถามว่า "นามสกุลอะไรครับ?"

น้องคนที่สองที่นั่งอยู่ทำหน้างงสุดชีวิต ประมาณว่า ยุ่งอะไรกะตู พึ่งเจอกันครั้งแรกมาถามนามสกุลชั้นทำไม ผมถามซ้ำอีกครั้งว่า "นามสกุลอะไรครับ" เธอก็ไม่ตอบนั่งเงียบและมองหน้าผมแบบไม่ค่อยพอใจ

ผมเอะใจ นึกขึ้นได้ เลยรีบบอกว่า "พี่ถามนามสกุลของไฟล์ที่เราเซฟมา มันเป็นไฟล์ฟอร์แมทอะไรหน่ะ ไม่ใช่ถามถึงนามสกุลของเรา" เธอจึงถึงบางอ้อ แล้วก็มีฮากันเล็กน้อย

(ก็นี่แหละ ไม่ได้นอนแล้วมันจะลอยๆ เบลอๆ .. เฮ้อ)

สรุปว่าเธอใช้ CroleDraw ทำมา และเซฟมาเป็นฟอร์แมทของ CroleDraw เอง ซึ่งผมใช้ The GIMP 2.0.1 เปิดไม่ได้ เรื่องจึงจบแต่เพียงเท่านี้ (คืนนี้ต้องรีบนอนจริงๆ แล้ว)

Wednesday, June 02, 2004

สิ่งที่ได้จากร้านก๋วยเตี๋ยว

นักเรียนไม่ดี ให้โทษครู
ลูกประพฤติไม่ดี ให้โทษพ่อแม่
ผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องโทษใคร โทษตัวเอง

(อยู่บนปฏิทินในร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเต็กกอ ถนนดินสอ)

Tuesday, June 01, 2004

พลเมืองดีตอนตีสี่ ตอนนี้กำลังง่วง

เมื่อคืนปิดร้านแล้วเกิดคึกนึกอยากทำอะไรหลายอย่าง ล้างแผ่นกรองแอร์ ล้างถ้วยจานชามที่ทำยำยำจัมโบ้รสหมูสับใส่สาหร่ายทะเล (ทั้งของตัวเองและของเพื่อน) ขัดห้องน้ำ จะเช็ดทำความสะอาดคอมพิวเตอร์ทั้งร้าน จะกวาดและถูพื้น เช็ดกระจก ลง Linux TLE 5.5 ใหม่อีกรอบ จะได้ลอง apt-get upgrade ใหม่หมดเพื่อทดสอบว่าหลังจาก upgrade เป็น kde 3.2 และ gnome 2.6 แล้วจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ฯลฯ

ปรากฏว่า ทำได้แค่สามอย่างแรก แล้วข้ามมาลง Linux TLE 5.5 ใหม่เลย เพราะวางแผนว่าระหว่างลง Linux TLE ก็จะไปเช็คคอมพิวเตอร์ กวาดพื้น ถูพื้น เช็ดกระจก ฯลฯ แต่มัวไปเสียเวลากับการหาวิธีว่าจะลง Linux ด้วยไฟล์ iso image จากฮาร์ดดิสก์อย่างไรอยู่นานมาก เนื่องจากไม่อยากต้องคอยเดินมาเปลี่ยนแผ่นบ่อยๆ

พอหาวิธีได้ก็ตีสามกว่าเข้าไปแล้ว เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยกวาดพื้นตอนเช้าเลยละกัน ส่วนเรื่องถูก็เลื่อนไปก่อน (แฮะๆ) เดี๋ยวคืนต่อไปค่อยถู กระจกก็ไปเช็ดตอนสายๆ ได้ ดังนั้นจึงทำการลง Linux TLE ด้วย iso image จากฮาร์ดดิสก์ ขณะที่กำลังเลือก package ว่าจะลงอะไรบ้าง ก็ได้ยินเสียง บรื้นนนน ... เอี๊ยดดดด ... โครมมมม ... เลยเปิดประตูร้านออกไปชะโงกดู เห็นมอเตอร์ไซค์นอนกอง และตุ๊กๆ จอดเรียงแถวกันอยู่ เลยรีบโทรไปแจ้ง สน.สำราษราษฎร์

ตอนแรกนึกว่าคงไม่มีใครเป็นอะไรมาก เพราะเห็นมีคนยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาแล้วเข็นหลบเข้าข้างทาง พอโทรแจ้งเสร็จก็ออกไปเป็นไทยมุง จึงได้เห็นว่ามีคนนอนแผ่ เลือดไหลออกจากคิ้วขวา (ยังกะแผลแตกของนักมวย) เลยวิ่งกลับมาโทรไปแจ้งความใหม่อีกรอบว่ามีคนบาดเจ็บนอนกองคาแผลแตกอยู่ แจ้งเสร็จก็ออกไปเป็นไทยมุงอีกรอบ ... ปรากฏว่ามีผู้บาดเจ็บสองราย รายที่คิ้วแตกนั้นขาหักด้วย ส่วนอีกคนขาเดี้ยงอย่างเดียว ไม่รู้ว่าขาหักหรือเปล่า (ตำรวจบอกว่าขาหักอย่าเคลื่อนไหว แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร กระโดดกระต่ายไปมาเพราะเป็นห่วงเพื่อนที่นอนกองอยู่)

กว่าที่เหตุการณ์ทั้งหมดจะจบลงและกลับเข้ามาในร้านก็ตีสี่กว่า แล้วยังต้องมาเลือก package ที่ทำค้างไว้ต่ออีก ช่วงที่รอมันติดตั้งเลยหลับๆ ตื่นๆ คอยดูว่าเสร็จหรือยัง ... ใช้เวลาในการติดตั้งประมาณสิบห้านาทีเอง (มั๊ง ลืมดูเวลาที่แน่นอน เพราะว่าง่วงจัด) พอติดตั้งเสร็จก็จัดการแก้ไขไฟล์ /etc/apt/source.list ให้เข้าไปดาวน์โหลดตัว testing มาด้วย (เพราะมี kde 3.2 กับ gnome 2.6 อยู่ที่นั่น) เรียบร้อยแล้วก็จัดการ apt-get update; apt-get upgrade; apt-get install vlc ทันที รอกดตกลง แล้วก็หลับไป

ตื่นมาก่อนแปดนาฬิกาเล็กน้อย ... เห็นว่า apt-get เสร็จหมดแล้ว ก็เลยจัดการ init 3; init 5 แท่น แทน แท๊น ... เข้า xwindow ไม่ได้เหมือนเดิม !! เลยเอาใหม่ นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ลบบรรทัด dri กับไปแก้ค่า nv ให้เป็น nvidia ในไฟล์ /etc/X11/XF86Config เลยจัดการแก้ไขซะแล้วสั่ง init 6 ซะเลย

ทีนี้ก็เกิดเรื่องอีก คือติดตั้งไว้ที่ hda1 แถมตอนติดตั้งดันสั่งไม่ให้สร้าง boot loader ไว้ด้วยเพราะนึกว่า boot loader ตัวเก่าที่ mbr จะไม่หายไป แต่ว่ามันหาย เลย boot ไม่ได้ ...

ประสบการณ์สอนให้คนฉลาดขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้ติดตั้ง boot loader แต่ก็ได้ทำแผ่น boot เอาไว้ (เผื่อกรณีฉุกเฉิน แล้วมันก็ได้ใช้จริงๆ) แต่ boot มาก็เข้า xwindow ไม่ได้อยู่ดี ปัญหาเหมือนเมื่อคราวที่ต้องโทรไปรบกวนคุณกำธรในวันอาทิตย์ตั้งแต่เช้ายันบ่าย (คุยโทรศัพท์กันนานยังกับคนจีบกันใหม่ๆ เพราะติดปัญหาอยู่นานหลายชั่วโมง)

ทีนี้ก็ไม่รอแก้ปัญหาแหละ เดี๋ยวค่อย report bug ทีเดียวเลยละกัน แต่ดันจำวิธี reinstall grub ไม่ได้ (เพราะเมื่อไหร่ที่จะต้องใช้ command line ก็ต้องเข้าไปค้นในเว็บ thailinuxcafe ทุกที) xwindow ก็เข้าไม่ได้ text based browser (elinks) ลงไว้แต่ก็ดันลืมใช้ เลยแก้ปัญหาโดยการลงใหม่อีกรอบ แต่เลือกลงแบบน้อยที่สุด เพราะต้องการแค่ให้ boot เข้า Linux TLE 5.5 ที่อยู่ใน hda3 ได้เท่านั้น ระหว่างรอการติดตั้งครั้งสุดท้ายก็ไปกวาดร้าน ...

กว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางเรียบร้อย ก็เก้าโมงครึ่ง กลับบ้านอาบน้ำ กินก๋วยเตี๋ยว มาเปิดร้าน เช็ดคอมพิวเตอร์ (เออ ยังไม่ได้เช็ดกระจกเลย ลืม)

มองนาฬิกาอีกที บ่ายกว่าแล้ว มานั่งบันทึกเหตุการณ์การการเป็นพลเมืองดีของไทยมุงคนหนึ่ง (กว่าจะพิมพ์มาถึงตรงนี้ก็บ่ายสองจะครึ่งแล้ว .. blog คราวนี้ยาวจริงๆ) ตอนนี้รู้สึกง่วงมากๆ จริงๆ ง่วงยิ่งกว่าตอนก่อนมานั่งพิมพ์ blog อีก ... ฮ้าว ... (เดี๋ยวแอบหลับดีกว่า - เอ๊ะ แล้วตกลงจะได้เช็ดกระจกไหมเนี่ยะ)